ปรัชญาในการศึกษาวิชาโหราศาสตร์
ภารต ถิ่นคำ
หลังจากพอรู้ที่มาที่ไปของวิชาโหราศาสตร์แล้วพอสังเขปว่า วิชานี้มีที่มาตั้งแต่ไหนอย่างไร ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนเห็นว่าจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ผู้ศึกษาวิชาโหราศาสตร์นี้ควรจะรู้ควรจะทราบเอาไว้ตั้งแต่แรกๆศึกษาเลย ก็คือ วิธีการศึกษาเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดแก่ตัวผู้ศึกษาเอง ทั้งนี้เนื่องจากเนื้อหาวิชาของโหราศาสตร์มีมากมายอย่างยิ่ง ซึ่งพอเรียนศึกษาไปมากๆเข้า เท่าที่ผู้เขียนประสบพบมาจะมีผู้ศึกษาหลายๆท่าน มักจะมีอาการดังต่อไปนี้
จะเริ่มเบลอและสับสนจนไม่สามารถที่จะแยกแยะได้ว่า สิ่งไหนคือ ทฤษฎีเนื้อหาพื้นฐานหลัก และสิ่งไหนคือ กระบวนวิธีเทคนิคเพื่อเข้าสู่การพยากรณ์ ซึ่งพอสับสนแล้วก็จะพาให้งานผิดพลาดไปได้ ดังนั้นคำว่า รู้จัก ใช้เป็น เห็นผล จึงต้องเป็นเป้าหมายมาตรฐานความสัมฤทธิ์ผลของการศึกษาในวิชานี้
เท่าที่ผู้เขียนได้เคยประสบพบมาในระหว่างการศึกษาวิชานี้ ซึ่งนานพอสมควร มักจะได้ยินคำสอนเตือนใจที่ให้แง่คิดในการศึกษาจากบรรดาโหราจารย์รุ่นเก่าและร่วมสมัยหลายท่าน ได้ให้ คำคม ที่สรุปใจความสำคัญของวิชานี้ เอาไว้หลายประโยคที่น่าสนใจ อาทิเช่น
“ โหราศาสตร์เป็นเรื่อง ฟ้า โลก และมนุษย์ โดยมี เวลา เป็นตัวเชื่อมโยง ”
ผู้ที่ศึกษาในวิชานี้ หลายๆท่านเมื่อ วิเคราะห์ปัญหาและตีโจทย์แล้วมักจะพลาด ซึ่งเหตุที่พลาดเท่าที่พบมาก็มีหลายประเด็น แต่การพิจารณาไม่ครบทั้ง 4 องค์ประกอบที่ว่านั้น ถือเป็นประเด็นหลัก คือผิดตั้งแต่กระบวนการคิดชั้นต้นๆของชิ้นงานนั้นเลย บางท่านพิจารณาแต่ประเด็นความสัมพันธ์ของดวงดาวว่าทำมุมกันอย่างไร แล้วก็ผลีผลามทำนายออกมา ซึ่งผลที่ได้มักจะผิดหรือบางทีก็แค่ถูกโดยบังเอิญเท่านั้น แต่ก็มีหลายท่านศึกษามาตั้งนานก็ยังไม่รู้ วิธีแยกวิธีเชื่อมโยงว่าแต่ละอย่างเหมือนกันหรือต่างกัน และจะเชื่อมโยงกันได้อย่างไร โดยวิธีไหน
“ ราศี เป็นเรื่องของฟ้า เรือนชะตาเป็นเรื่องของโลก ”
หลายท่านยังแยกไม่ออกว่า ราศีกับเรือนชะตานั้นใช้ร่วมกันอย่างไร โดยเฉพาะท่านที่ไม่ได้ศึกษาโหราศาสตร์แนวสากลคลาสสิก มาก่อน พอเห็นการตั้งดวงแบบสากล เช่น ดวงแบบพลาสิดุส ก็เลยงง ไม่สามารถนำมาใช้งานด้านการตีความให้ได้เต็มที่ หรือบางท่านศึกษามาแบบเรือนชะตาเท่า โดยมีเรือนชะตาและราศีทับกันสนิท เมื่อรู้แค่นี้ก็เลยพลาด เหตุเพราะขาดข้อมูลทางด้านเรือนชะตาที่อิงดาราศาสตร์รูปแบบอื่นในเชิงประจักษ์ไป ทำให้ไม่เห็นภาพปรากฏการณ์จริงทางดาราศาสตร์ ซึ่งเมื่อขาดภาพปรากฏการณ์ที่เป็นจริงเชิงประจักษ์ เช่น สามารถกำหนดทิศ ขอบฟ้า ปัจจัยพิกัดบนฟ้า และเวลา แล้ว การตีความเพื่อพยากรณ์จะมีโอกาสที่จะคลาดเคลื่อนได้ง่าย
“ถูกวิธีคิด แต่ผิดวิธีทำ ”
มักจะมาคล้ายกับสำนวนที่ว่า “ มาถูกทางแต่จอดไม่ถูกที่ ” เช่นการตีความแต่ศูนย์รังสีและจุดอิทธิพล ตามความเข้าใจของตนเอง แล้วยึดมั่นถือมั่นว่าถูกต้อง และใช้ได้ในทุกกรณี หรือในกรณีที่ใช้เป็นแต่วิธีดูดวงจรปัจจุบันกระทบกับดวงกำเนิดเท่านั้น แล้วสรุปตีความออกมาแบบโผงผางเลยโดยไม่ได้พิจารณาดวงวัยแบบอื่นๆที่จะมารองรับ และอีกหลายๆวิธีซึ่งเข้าข่ายที่ว่ามานี้ ทำให้ผลการพยากรณ์ของตนเองผิดพลาดได้โดยง่าย
“ ยัดเยียดดาวให้สูตร ยัดเยียดสูตรให้ดาว ”
เกิดขึ้นได้ง่ายจากการแกะจากดวงของเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นไปแล้ว เพื่อมาเป็นกรณีศึกษา โดยใส่คำแปลหรือคำกุญแจเข้าไป ตามเหตุการณ์ที่รู้แล้วเฉลยออกมาแล้ว แต่คำความหมายที่ว่านี้นำไปใช้ไม่ครบหรือไม่ถูกตัว หรือไม่ถูกสถานะทางสมการและมุมสัมพันธ์ หรือ กระทบกับเจ้าชะตาที่ผิดตัวผิดฝั่งผิดฝา ยกตัวอย่างเช่น จุดหวย จุดแต่งงาน จุดคู่ครอง จุดฟุตบอล ฯลฯ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องการตีความหมายทางปรัชญาโหราศาสตร์ชั้นลึกและมีตัวแปรอื่นๆเข้ามาอีกมาก ถ้าไปยึดมั่นโดยไม่ยืดหยุ่นกับการพิจารณาของแนวอื่นๆที่เกี่ยวข้องด้วยนั้นอาจจะทำให้เกิดการผิดเพี้ยนในด้านการพยากรณ์ได้ง่าย
“ สภาวะความเป็นจริง ปรากฏการณ์ สมการ และจินตนาการ เป็นคนละเรื่องเดียวกัน ”
เรื่องนี้ถือว่า เป็นเรื่องสำคัญมากในการศึกษาวิชาโหราศาสตร์สากลยูเรเนียน ครูโหรหลายท่านเน้นนักเน้นหนาว่า ต้องรู้จักแยกแยะให้ออกเมื่อได้แล้วให้นำมาใช้ให้ถูกแบบครบทุกประเด็น ก่อนที่จะประมวลออกมาเป็นคำพยากรณ์ ครูโหรหลายท่านเน้นเลยว่า การพิจารณาดูดวงชะตานั้น ต้องดูทั้งให้ครบทั้งแบบตามนุษย์ ตาทิพย์ และตาเทวดา โดยคำว่า ตามนุษย์นั้น คือ ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ มีเส้นขอบฟ้า มียอดฟ้า มีเวลา มีทิศทาง มีพิกัด และเห็นจริงหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญต้องพิจารณาก่อน เพราะเป็นภาพแสดงออกจริง และเป็นหัวใจหลักของโหราศาสตร์ดาราศาสตร์มาแต่โบราณกาล ซึ่งตรงกับคำว่า ปรากฏการณ์ ส่วนคำว่า ตาทิพย์นั้น เป็นจินตนาการ และสมการ ประกอบกัน ซึ่งเป็นกระบวนการแห่งตรรกวิทยาและ ทางวิทยาศาสตร์ ทาง คณิตศาสตร์ และ การประมวลองค์ความรู้ทั้งหมดมาตัดสินวิเคราะห์ เรื่องพวกนี้ไม่เห็นด้วยตาเปล่า ณ เวลาประสงค์ แต่สามารถคาดคะเนและวิเคราะห์เอาจากปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสมองและสร้างแบบจำลองในรูปแบบต่างๆเพื่อให้เกิดความเข้าใจในสภาวการณ์เท่านั้น มีบ่อยครั้งที่ผู้ศึกษาเผลอเข้าใจว่า ผลลัพธ์ของค่าสมการทางคณิตศาสตร์ และแบบจำลองเท่านั้นเป็นตัวตัดสินในประเด็น โดยลืมเรื่องปรากฏการณ์ที่เห็นทางตาเชิงประจักษ์ หรืออาจจะไม่เคยเข้าใจเลยว่า เรื่องนี้ มีอยู่ในวิชานี้ซึ่งสำคัญเป็นอย่างมากด้วย ส่วนตาเทวดานั้น เป็นเรื่องของการใช้มุมมองของรูปดวงชะตา ทั้ง ระบบโลกเป็นศูนย์กลาง ( Geocentric ) กับ ระบบดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ( Heliocentric ) ซึ่งต่างก็เป็นปรากฏการณ์จริงทางดาราศาสตร์ทั้งคู่แต่ต่างมุมมองและพิกัดมิติในการสังเกต โดยตาเทวดานั้น ต้องออกไปยืนนอกโลกตรงขอบของสุริยจักรวาลเท่านั้นจึงจะเห็น ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นเทวดามองเข้ามา ที่ว่าเรื่องนี้สำคัญเพราะ อัตราความเร็วในการโคจร ทิศทางการโคจร การปัดเฉียงของเส้นทางโคจร การทำมุมสัมพันธ์และคุณสมบัติอื่นๆ ของดาวเคราะห์นั้น ต่างก็มีผลต่อคุณสมบัติในการตีความหมายของดาวและปัจจัยต่างๆทางโหราศาสตร์ด้วย ซึ่งก็ส่งผลต่อการออกคำพยากรณ์ให้กระชับและมีแนวโน้มที่ให้ความถูกต้องมากยิ่งขึ้น
“ เอาความเชื่อส่วนตัวที่คลาดเคลื่อนมาเป็นความรู้ ”
ความรู้ของแต่ละคนนั้นเมื่อเวลาผ่านไป ถ้าผู้นั้นยังคงหมั่นศึกษาค้นคว้าไปเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง ก็จะมีการพัฒนาเพิ่มพูนไปมากยิ่งขึ้น ความรู้อย่างเดิมที่เคยมีมาก่อนบ่อยครั้งในหลายประเด็นและหลายเรื่อง เมื่อมีข้อมูลใหม่เสริมเข้ามา เจ้าตัวอาจจะพิจารณาได้เองว่าความรู้ดังกล่าวนั้นใช้ไม่ได้แล้ว เพราะจำต้องมีการเปลี่ยนแปลงความเชื่อไปบ้าง และในบางเรื่องบางราวนั้นอาจจำต้องเปลี่ยนแปลงกันไปอย่างชนิดกลับขั้วกันไปเลยก็มี หรือหาเสริมเข้าไปใหม่จนจำสภาพเดิมแทบไม่ได้นั้นกรณีแบบนี้ก็มีเยอะมาก หรือในประเด็นทางโหราศาสตร์ก็เช่นกัน ความเข้าใจเรื่องวิธีการทางโหราศาสตร์แท้ๆ จะไปทำลายความเชื่อเดิมทางด้านพิธีกรรมหรือวิธีการต่างๆที่เคยรู้เคยเชื่อเคยเข้าใจ หรือแม้แต่เคยใช้มาแล้วอย่างได้ผล ให้เปลี่ยนไปเป็นเข้าใจทางด้านวิธีการที่ปรับเรื่องให้คล้องจองเพื่อให้เข้ากับวิธีการตามธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน ซึ่งเรื่องนี้ก็มีความละเอียดอยู่ในหลายระดับ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวผู้ศึกษาเองด้วยว่าจะรู้สึกรู้สา แล้วยอมรับการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาปรับความเชื่อแต่เดิมให้กลายไปเป็นความรู้ใหม่ได้หรือไม่
“ ราศี คือ ชื่อเรื่อง เรือนชะตา คือ ฉาก ดวงดาว คือ ดารานักแสดง ตำแหน่งสัมพันธ์และคุณสมบัติ คือ บทบาทที่ได้รับ ”
ประโยคนี้ถือเป็นสูตรแม่แบบ หรือหัวใจของวิธีและลำดับขั้นในการอ่านดวงชะตาที่สำคัญอีกสูตรหนึ่ง เพราะได้จำแนกลำดับขั้นตอนเอาไว้อย่างครอบคลุมรัดกุมและลึกซึ้ง ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าจำง่าย และเข้าใจได้ไม่ยาก อีกทั้งป้องกันการสับสนในการแก้ปัญหาระหว่างการตีโจทย์ เพื่อให้ลดความผิดพลาดในการตีความก่อนออกมาเป็นคำพยากรณ์ได้อย่างดี
“ การดูดวงชะตาแบบจร ต้องดูทั้งภาพเคลื่อนไหวแบบหนังทั้งเรื่อง ไม่ใช่ดูภาพใดภาพใดภาพหนึ่งแล้วตีความเดาเอาเอง ”
ประโยคนี้เป็นก็ถือเป็นสูตรแม่แบบสำคัญของการพยากรณ์จรที่ผู้เขียนเห็นว่าสำคัญ ดังตัวอย่างเช่น การพิจารณาดวงวัยใดของเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แล้วผู้พยากรณ์ได้ยึดมั่นปักใจว่าจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในระดับความรุนแรงเท่าที่เห็นในดวงเหตุการณ์นั้น โดยละเลยการดูกลุ่มดวงของลำดับเวลาที่จะเกิดขึ้นได้ตามเงื่อนไข บ่อยครั้งมากที่การพยากรณ์แล้วพลาดได้ง่าย เช่นการทำนายว่าจะได้รับโชคเงินก้อนใหญ่ ณ ช่วงเวลานั้นเวลานี้ แต่กลับกลายเป็นว่า ที่ได้น่ะได้จริง และเป็นแค่เงินผ่านมือผ่านบัญชีเพื่อรอจ่ายจนแทบไม่เหลือ หรือรับมาเพื่อให้ทำงานที่ขาดทุนเสียหายแก่เจ้าชะตา
ความจริงยังมีวรรคทองคำในวิชาโหราศาสตร์อีกหลายอย่าง ที่ผู้เขียนเคยได้ยินได้อ่านได้รับมาจากครูโหรหลายท่านและจากตำราหลายแหล่งที่น่าสนใจ แต่ที่นำมาลงไว้ก่อนเข้าเรื่องเนื้อหาวิชา ก็เพื่อให้เป็นข้อคิดและรู้เข้าใจข้อความที่เป็นประโยชน์เพื่อทราบแนวทางของเนื้อหาหลักการของวิชานี้โดยรอบ และรู้จักการใช้วิชาแบบครบถ้วนครบประเด็นให้เป็น