เบื้องหลังวันรัฐประหาร

                เป็นเวลา 7 ปีมาแล้ว ที่เราได้เก็บเรื่องนี้ไว้ โดยไม่มีโอกาสที่จะเสนอความจริงของวิชาโหราศาสตร์สากลให้ท่านผู้สนใจในวิชานี้ทราบได้ แต่เป็นบุญโดยบังเอิญเหลือเกิน หลังจากที่เราคือ ญาณ และ จรัญ ต่างคนต่างจากกันไปเสียเป็นเวลาหลายปี จนบัดนี้เราก็ได้เข้ามาร่วมงานกันอีก ซึ่งพอดีกับที่เราได้มีหนังสือนิตยสารออกของเราเอง ฉะนั้น เรื่องชตาเบื้องหลังวันรัฐประหารปี พ.ศ.2490 จึงได้ถูกเสนอต่อท่าน ณ บัดนี้

   เพื่อที่จะให้เรื่องราวปะติดปะต่อกันตามความจริง ว่ามีเหตุผลอย่างใดเราจึงรู้เรื่อง "เบื้องหลังวันรัฐประหาร" นี้ ฉนั้นเราจึงเห็นสมควรที่จะต้องเริ่มเรื่องราวเบื้องต้นของเราเสียก่อน ว่าเราทั้งสองได้มีความสัมพันธ์กันมาอย่างไร เราจึงได้มาร่วมงานค้นคว้าทางโหราศาสตร์นี้กันขึ้น ดังที่เราจะได้เริ่มเรื่องดังต่อไปนี้

   ด้วยการแนะนำของอาจารย์ ร.ต.ทองคำ ยิ้มกาภู (ยศในสมัยนั้น) ซึ่งเป็นอาจารย์ผู้ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาการทางโหราศาสตร์แบบไทยให้แก่ "จรัญ พิกุล" เราทั้งสองคนจึงได้รู้จักกัน และด้วยทรรศนะอันต้องกันในวิชาโหราศาสตร์ เราทั้งสองจึงได้ไปทำการศึกษาค้นคว้าวิชานี้ร่วมกัน ณ ที่บ้านตึกขาว สุดซอยระนอง 2 ณ ที่นั่นเอง การเริ่มงานผูกดวงชตาแบบอินเดียก็ได้เริ่มขึ้นในเวลานั้น และการหันมาเล่นโหราศาสตร์แบบสากลก็ได้เริ่มขึ้นด้วยในเวลาต่อมา ความจริงในเวลานั้นยังไม่มีนักโหราศาสตร์ศึกษากันแบบนี้แพร่หลาย และด้วยการคิดค้นคว้าดวงชตาแบบอินเดียและสากลนี้เอง เราทั้งสองจึงได้เขียนคำทำนายเหตุการณ์บ้านเมือง ส่งไปให้หนังสือพิมพ์ ไท ไทยรายสัปดาห์ ลง ซึ่งขณะนั้นรัฐบาลชุดหลวงธำรงฯ กำลังบริหารงานอยู่ และประกอบกับที่ภาวะการณ์บ้านเมืองในสมัยนั้น อยู่ในระยะแห่งความระส่ำระสาย ด้วยการที่ประชาชนต้องแย่งกันซื้อข้าวสารด้วยบัตรปันส่วน การเขียนคำทำนายบ้านเมืองลงใน น.ส.พ. ไท - ไทย ของเรานั้น ได้ส่งผ่านมืออาจารย์ ร.ต.ทองคำ ยิ้มกำภู ไปยังคุณเสฐียร พันธ์รังษี ซึ่งในขณะนั้นได้เป็น บ.ก. หนังสือพิมพ์นั้นอยู่ คำทำนายของเราได้ถูกตีพิมพ์ไปสองสามอาทิตย์ เราก็ได้เขียนคำทำนายอันสำคัญ ส่งไปให้อีกครั้งหนึ่ง

   ขณะนั้นเป็นเดือน ตุลาคม อากาศหนาวเริ่มจำเข้ามาเปลี่ยนฤดูกาลแล้ว เราทั้งสองจำได้ว่า จะมีดาวเคราะห์วิปริตคู่หนึ่ง คือดาวอังคารกับดาวเสาร์ กำลังจะโคจรเข้าทับกันในราศีสิงห์องศาที่ 23 ในปริมณฑลแห่งฟากฟ้าเมืองไทย ณ วันที่ 12 พ.ย.2490 หลักฐานแห่งดาววิปริตคู่นี้จะดูได้จากปฏิทินโหรของ ราเฟล ปี ค.ศ.1947 หน้า 38 บรรทัดสุดท้าย ดังนั้น เราทั้งสองจึงได้เขียนคำทำนาย อันเนื่องมาจากดาวคู่นี้ส่งไปลงในน.ส.พ. ไท - ไทย ฉบับประจำวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2490 ซึ่งเวลานั้นเรายังไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวแก่การรัฐประหารครั้งนั้นเลย เมื่อคำทำนายของเราได้ถูกส่งไปตีพิมพ์เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นอีกประมาณสองสามวัน เราก็ได้รับเป็นผู้ผูกดวงชตาของบุคคลสำคัญๆ หลายท่าน ซึ่งในเวลานั้นเราไม่รู้จักว่าเป็นดวงของใครต่อของใคร เป็นแต่ใช้นามย่อว่า ก.จ. ส.ป. และที่สำคัญที่สุด เราจำได้ก็คือดวงชตาของผู้ยิ่งใหญ่แห่งประเทศไทยในปัจจุบันนี้ เมื่อเราได้ผูกดวงตามแบบที่เราได้ศึกษาใหม่ คือ ดวชตาแบบสากลเรียบร้อยแล้ว เราก็เสนอต่อไปยังผู้ที่มาติดต่อกับเรา

   อนึ่งในวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ.2490 บุคคลคนหนึ่ง ซึ่งต่อมาเราจึงทราบว่าเป็นคนสำคัญคนหนึ่งในชุดผู้ก่อการรัฐประหาร ก็ได้มาหาเราที่บ้านตึกขาวในซอยระนอง 2 และมีความประสงค์ขอให้เราทำนายเรื่องราวของเขา ซึ่งเขามีประสงค์ว่าจะดำเนินงานอันสำคัญในเร็ววันข้างหน้า เมื่อเราได้ผูกดวงชตาของบุคคลสำคัญท่านผู้นั้นแล้ว เราก็ได้พยากรณ์ถึงความสำเร็จ อันจะมีต่อท่านผู้นั้น และเรายังได้ผูกดวงชตาคนสำคัญๆ ขึ้นอีกประมาณ 10 ดวง เพื่อทราบผลว่าโชคชตาของบุคคลเหล่านั้นจะหมดวาสนา ชตาตกแล้วหรือยัง ครั้นเป็นที่พอใจของท่านผู้นั้นแล้วก็ได้ลากลับไป และในตอนบ่ายวันเดียวกันนั้นเอง ท่านบุคคลสำคัญผู้นั้นก็ได้กลับมาหาเราอีก พร้อมด้วยอาจารย์ร.ต.ทองคำ ฯ เราสี่คนได้ปรึกษาและทำนายถึงผลงานต่างๆ อยู่เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามชั่วโมง และในที่สุดเราก็ได้ฤกษ์ของการเริ่มงานของเขาในระหว่างวันที่ 8 ถึง 12 พ.ย. ว่าเป็นฤกษ์ดี บนท้องฟ้ากำลังปรอดโปร่ง เมื่อเราได้แสดงยุทธวิธีโหร แบบตัดไม้ข่มนาม โดยเอาดวงชตาของกลุ่มผู้ปฏิบัติงานเทียบกับอีกกลุ่มหนึ่งแล้ว ท่านทั้งสองผู้นั้นก็ได้ลากลับไป เราไม่ทราบว่าเรื่องของท่านผู้นั้นคืออะไร เพราะทุกดวงชตาที่เราได้ตรวจพิจารณาดู ล้วนแต่มีชื่อกำกับเป็นอักษรย่อทั้งสิ้น แม้เราจะมีความสงสัยประการใดก็ตาม เราก็ไม่อาจจะทราบวัตถุประสงค์อันยิ่งใหญ่ของท่านผู้นั้นว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ถึงแม้เราจะคาดหมายเอาเลาๆ ว่า เรื่องนั้นจะเป็นอย่างไร และสำคัญเพียงไหน ประกอบกับข้อเขียนคำทำนายที่ได้ตีพิมพ์ไปแล้วในหน้าน.ส.พ. เราก็เพียงแต่รับทราบไว้ภายในดวงใจอันเต้นระทึกอยู่อย่างเงียบๆ เท่านั้น

   สาระสำคัญจากข้อเขียนคำทำนายของเรา ที่ได้ถูกตีพิมพ์ลงในน.ส.พ.ไท - ไทย ฉบับวันที่ 15 ตุลาคม 2490 หน้า 7 ก็ได้ปรากฏโฉมออกมาเสนอประชาชน ดังต่อไปนี้

   "...ขณะนี้ ดวงดาวส่อสำแดงว่า รัฐบาลกำลังอ่อนใจเต็มทน และกำลังรวบรวมสมรรถภาพครั้งสุดท้าย เพื่อจะอยู่หรือจะไป... อีกส่วนหนึ่งระหว่าง 25 ตุลา ถึง 12 พฤศจิกา เนื่องจากดาวอังคารจะโคจรผ่านดาวเสาร์และจะเข้าชิดกัน ในระหว่างวันที่กล่าวนี้ เฉพาะเหตุการณ์ทั่วไปของโลก และโดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่อยู่ตรงเส้นรุ้ง 15 องศาเหนือ ทางภาคตะวันออกของโลก คือในภาคเอเชียอาคเณย์ จะได้รับอิทธิพลอันนำมาซึ่งวิกฤตกาลที่ร้ายแรง เช่นการปะทะกันระหว่าง กำลัง (อังคาร) กับ ระบอบเดิม (เสาร์) สันติภาพทั่วไปเป็นอันไร้ผล วงการเมืองผันผวนเปลี่ยนแปลงยุ่งยากขึ้น ซึ่งอาจนำมาแห่งประวัติศาสตร์ใหม่ ...อาจมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ หรือมีการยุบสภา การแตกหักโค่นจะมีโดยทั่วไป ไม่มีการปราณีปราณอม"

   เรารู้สึกขอบคุณรัฐบาลชุดนั้น ซึ่งมีพณะท่านหลวงธำรงฯ เป็นผู้นำ อย่างยิ่ง ที่ได้ให้เสรีภาพแก่การเชียนของเราอย่างเสรีประชาธิปไตยแท้ แม่ว่าเราจะได้กล่าวออกไปว่า รัฐบาลชุดที่เรากล่าวถึงนั้น "กำลังอ่อนเต็มที่แล้วก็ตาม" และเหตุการณ์โดยทั่วไป ก็มีเลศนัยว่ารัฐบาลชุดนั้นจะถึงกาลอวสาน โดยเราเสนอคำว่า "สันติไม่มีผล" แล้วก็ตาม ท่านก็ใจดีเป็นอย่างยิ่ง ที่มิได้สนใจต่อเรื่องราวของชาวโหร ซึ่งทั้งนี้เราต้องขอชมเชยพณะท่านและรัฐบาลชุดนั้นไว้เป็นพิเศษ

   ทำไมเราจึงเขียนคำทำนาย สะกิดใจรัฐบาลในขณะนั้น ข้อนี้เราได้กล่าวแล้วว่า "ดวงดาวบนฟากฟ้ากำลังเกิดวิปริต" และดาวคู่นี้สำคัญอย่างไร ในเมื่อโคจรเข้าทับกัน (Conjunetion) ไม่แต่เราทั้งสองจะตื่นตระหนกตกใจ แม้โหรชาวต่างประเทศที่ได้เคยเฝ้าทำสถิติของดาวคู่นี้มาแล้ว ดังในตำราโหราศาสตร์ภาคบ้านเมืองของ เอสเอช กรีน ก็ได้กล่าวว่า "การกุมของอังคารกับเสาร์" ในราศีหนึ่ง ส่ำสำแดงว่ากษัตริย์หรือรัฐบาลอาจขาดความนิยม และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง ถึงกับถูกโจมตีหรือถูกโค่นลงก็ได้ โดยความไม่พอใจภายในประเทศ หรือศัตรูจากต่างประเทศ และในบางครั้งอาจเกิดสงคราม บุคคลสำคัญของประเทศอาจถูกปลงชีวิต ประชาชนไม่พอใจผู้เป็นประมุขของตน การนัดหยุดงานจะเกิดมีขึ้น เกิดพายุและบางทีอาจถึงกับแผ่นดินไหว"

   และก็เมื่อปรากฎว่าดาวคู่นี้เข้าประชิดกันเหนือเส้นลองติจู๊ดฟากฟ้าดวงชตาบ้านเมืองไทย เราก็ใคร่จะให้ท่านพิจารณาหลักวิชาของโหราศาสตร์สากลดูบ้างว่า เหตุที่ต้องเกิดรัฐประหารนั้นดวงดาวได้ปกาศิตจริงหรือไม่ ดังที่ท่านจะพิจารณาได้จากดวงชตาแบบสากล ซึ่งเราได้ผูกขึ้นเมื่อ 8 พ.ย. 2490 เวลา 23.45 น. อันเป็นคืนที่ล้อเหล็กตีนตะขาบกำลังบดพื้นพสุธาอย่างกึกก้องจนเราต้องตื่นตระหนกตกใจขึ้นมาในเวลาดึกสงัดนั้น เอ นี่ไงหว่า ล้อเหล็กตีนตะขาบจึงได้บดพื้นพสุธาไปรวดเร็วฉะนี้ ท่ามกลางดึกสงัดนั้นเราทั้สองได้นำเอาดวงอมาวสีขึ้นมาดูอีกทีหนึ่ง ว่าเสียงกึกก้องนั้นจะเป็นเสียงที่เราคาดหมายไว้แน่หรือไม่ ก็พอดีในขณะนั้นเสียงรัวแห่งปืนกลก็ได้ดังขึ้นเป็นระยะหลายแห่งรอบบริเวณชานพระนคร เราฟังเสียงปืนกลรัวอยู่ตลอดคืนจวบจนกระทั่งฟ้าสาง เราคนหนึ่ง คือจรัญ พิกุล ก็ได้ออกไปลาดตระเวณ ณ ท้องสนามหลวงเพื่อใคร่จะทราบให้แน่ชัดว่า คำทำนายของเราที่ได้ทำนายไว้นั้น จะปรากฎความจริงหรือไม่ ครั้นแล้วเราก็ได้ทราบว่า บุคคลสำคัญคนหนึ่งที่ได้มาหาเราเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 90 นั้น กำลังอยู่ในชุดการณรงค์สงครามอย่างครบครัน หมวกเหล็กอันมันปลาบซึ่งสวมอยู่บนในหน้าอันเคร่งขรึมเอาจริงเอาจัง พร้อมกับปืนซึ่งถืออยู่ในมือ พร้อมที่จะลั่นออกในขณะหนึ่งขณะใดได้ทุกเมื่อ ก็ได้ต้อยรับผู้ลาดตระเวณของเราด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้มแจ่มใส แสดงถึงชัยชนะของท่านตามคำทำนายของเราแล้ว

   ท่านผู้อ่านผู้สนใจในวิชาโหราศาสตร์ทั้งหลาย ท่านใคร่จะทราบเหตุผลในคำทำนายที่เราได้ลงในหนังสือพิมพ์ ไท - ไทย นั้นหรือไม่ ถ้าท่านต้องการหลักวิชา เราก็ใคร่จะเสนอดวงชตาในวันอมาวสี ซึ่งปรากฎ ณ วันที่ 14 ตุลาคม 2490 เวลา 13.10 ดังนี้

   ส่วนดวงประหารนั้น เมื่อเราได้ผูกดวงขึ้นเป็นดวงชตาตามแบบสากลเรียบร้อยแล้วตามเวลาที่เราทราบมาจากท่านผู้ใหญ่ ก็จะได้ดวงชตาในวันรัฐประหารดังนี้