ReadyPlanet.com


บทความท่านปรมาจารย์ " ตำแหน่งสัมพันธ์ระหว่างดาว "


     ลงให้ครบแล้วครับ  บทความเรื่อง " ตำแหน่งสัมพันธ์ระหว่างดาว "  ของท่านปรมจารย์ พลตรีประยูร  พลอารีย์  ที่ลงไว้นานแล้ว ในหนังสือโหราเวสม์ ฉบับปฐมฤกษ์ เล่ม 1 เล่ม 2 และเล่ม 3 เป็นตอนๆไป  ตั้งแต่ เมษายน 2515

   นอกจากความรู้ด้านโหราศาสตร์แล้ว ยังได้รับความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ วิวัฒนาการของวิชาโหราศาสตร์สากล และยูเรเนียน ที่เข้ามาในยุคแรกๆของประเทศไทย ว่า สมัย พ.ศ. 2515 กับ พ.ศ. 2550 นั้น มีการพัฒนาการไปในทิศทางอย่างไร



ผู้ตั้งกระทู้ ภารต :: วันที่ลงประกาศ 2007-01-17 11:10:48 IP : 124.157.202.246


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (486097)

ระยะวังกะยังเปลี่ยนแปลงไปได้ตามกาลสมัยอีกด้วย เพราะบุคคลแต่ละยุคแต่ละสมัยมีความรู้สึกในการรับรู้อิทธิพลของดวงดาวไม่เท่ากัน สำหรับสมัยนี้ หากพยากรณ์กันให้รู้สึก ควรใช้ะยะวังกะราว 1 - 2 องศา แต่ในสมัยโบราณระยะวังกะมากกว่านี้)

ในบทความบอกไว้อย่างนี้

ว่าจะถามตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมความรู้สึกในการรับรู้อิทธิพลของคนในอดีตกับปัจจุบันไม่เหมือนกันละอะจ๊าน มันผิดแผกแตกต่างกันยังไง ขอความกระจ่างหน่อยฮับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ข้าพเจ้า วันที่ตอบ 2007-01-17 11:48:01 IP : 124.157.200.105


ความคิดเห็นที่ 2 (486108)
ช่วงนั้นเป็นหัวเลี้ยวรอยต่อระหว่างโหราศาสตร์สากลและยูเรเนียน ซึ่งใช้วังกะไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่อง Harmonics ต่างๆ หรือ 360 หารด้วยเลขจำนวนเต็ม ระบบยูเรเนียน ใช้วังกะ ( ความคลาดเคลื่อน ) ไม่เกิน 2 องศา ในฮาโมนิคเฉพาะที่ 8 แต่โหราศาสตร์สากล ใช้คุณสมบัติองค์รวม มีธาตุ คุณะ วงใน วงนอก เพศ และภาค ฯลฯ  ทำให้ความแรงของวังกะมีความแตกต่างกันตามสภาวะ   สมัยนั้นคนยังไม่ค่อยเข้าใจหรือรู้จักโหราศาสตร์ยูเรเนียน ถึงเดี๋ยวนี้ก็เถอะ ทำให้คาดเดาเอาว่า วิธีการต้องนำเสนอออกมาในแนวแบบนี้ 
ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต วันที่ตอบ 2007-01-17 12:13:24 IP : 124.157.202.246


ความคิดเห็นที่ 3 (486311)

เข้าใจที่อธิบายนะอะจ๊าน

แต่ไม่เห็นมันสอดคล้องกับการที่ว่าการรับรู้อิทธิพลของดวงดาวสมัยนี้กะสมัยก่อนผิดกันอ่ะ

เอ๊ะหรือเราโง่ไม่เข้าใจ...แน่ะ ๆ ไม่ต้องซ้ำเติมเลย ใครที่กำลังจะ...

ผู้แสดงความคิดเห็น ข้าพเจ้า วันที่ตอบ 2007-01-17 15:44:37 IP : 124.157.200.105


ความคิดเห็นที่ 4 (486324)
เรื่องมันยาวนา  นานและเยอะอีกต่างหาก  อยากรู้จริงๆรื้อ  อธิบายแล้วต้องตั้งใจฟังนา  ระหว่างที่อธิบายอยู่นั้น จะมายกเลิกสอบถามกลางคันไม่ได้เลยนา  เพราะคนบรรยายขี้โมโหง่าย มักจะขาดสติทำร้ายคนฟังบ่อยๆ เสียค่าทำขวัญและค่าปรับมานักต่อนักแล้ว บางทีเคยถึงขั้นลหุโทษก็มี แต่ศาลให้อภัยเห็นใจเพราะมีประวัติการรักษา ถือว่าบันดาลโทสะ
ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต วันที่ตอบ 2007-01-17 15:58:54 IP : 222.123.128.243


ความคิดเห็นที่ 5 (486332)
เอ่อ...ชักลังเลแระ กลัวโดนคนบรรยายขาดสติทำร้าย ถ้ามันยาวนักก็พักไว้ก่อนก็ได้จ๊าน มันคงไม่ค่อยได้ประโยชน์ซักเท่าไหร่เนอะ ...
ผู้แสดงความคิดเห็น ข้าพเจ้า วันที่ตอบ 2007-01-17 16:05:56 IP : 124.157.200.105


ความคิดเห็นที่ 6 (486339)

น่านต้องยังง้าน  .. อิ๊อิ๊

ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต วันที่ตอบ 2007-01-17 16:10:55 IP : 222.123.128.243


ความคิดเห็นที่ 7 (486345)
ไม่ได้อธิบาย ระวังลืมหมดเน้อ..
ผู้แสดงความคิดเห็น ข้าพเจ้า วันที่ตอบ 2007-01-17 16:16:27 IP : 124.157.200.105


ความคิดเห็นที่ 8 (486353)

ว้ามีแช่งอีก

ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต วันที่ตอบ 2007-01-17 16:25:27 IP : 222.123.128.243


ความคิดเห็นที่ 9 (486550)
เดี๋ยวแช่งกลับให้ครับจารย์ ***เรื่องแบบนี้ถนัดนักแล อิอิ
ผู้แสดงความคิดเห็น แช่งซ้ง วันที่ตอบ 2007-01-17 21:24:35 IP : 202.139.223.18


ความคิดเห็นที่ 10 (487716)
เรื่องระยะวังกะนั้น จากโบราณถึงปัจจุบัน การศึกษาคงต้องยึดแบบโบราณเป็นื้นฐานก่อน แต่ในการนำปฏิบัติจริงในปัจจุบันนั้นขึ้นอยู่กับผู้นำมาใช้เพื่อจะหาจุดของช่วงเวลาที่จะเกิดขึ้น ฉนั้น กฏเกณฑ์จะเป็นเรื่องการศึกษาให้เข้าใจ แต่นำมาใช้ก็แล้วแต่ผู้ปฏิบัติ
ลองคิดดูว่า ดวงอีแปะ หรือดวงไทย เขาใช้ทั้งราศีเป็นเรื่องของเรือนๆนั้นๆ เช่นลัคนาเป็นต้น เขาก็ใช้ทายได้จากอดีตจนถึงปัจจุบัน
แต่พอพวกเราได้ศึกษาเข้าใจแล้ว ทำไมถึงใช้ระยะวังกะที่แคบเข้ามา เรื่องระยะวังกะก็เป็นด้วยประการละฉะนี้
ผู้แสดงความคิดเห็น สัจจะ วันที่ตอบ 2007-01-19 10:50:12 IP : 203.114.104.42


ความคิดเห็นที่ 11 (487844)
ขอบคุณครับอาจารย์.. ชักอยากใกล้วัดเข้าไปทุกทีๆแล้ว..
ผู้แสดงความคิดเห็น แชซ้ง วันที่ตอบ 2007-01-19 13:02:42 IP : 202.139.211.254


ความคิดเห็นที่ 12 (487922)

คงเหมือนนาฬิกานะ สมัยก่อนคนโบราณมองตะวันแล้วกะเอา ช่วงเช้า ช่วงเพล เที่ยง บ่าย สมัยนี้มองนาฬิกาแล้วก็บอกได้เป๊ะ ๆ ว่ากี่โมง กี่โมง

ใกล้วัดหรือใกล้ศาลา...ท่านพี่

ผู้แสดงความคิดเห็น ข้าพเจ้า วันที่ตอบ 2007-01-19 14:21:39 IP : 124.157.160.190


ความคิดเห็นที่ 13 (488058)

เคยเจอเขาบอกเกิดเวลา แปลกๆ เช่น  ควายสีคอก  กะหมาหอนแรก ไก่ขันแรก  กระดานชัย ( โปปั่น) พระฉันเพล แห่นาคเข้าวัด ทุกวันนี้ยังงงอยู่ว่า มันมีมาตรฐานตรงไหน หว่า

ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต วันที่ตอบ 2007-01-19 16:46:46 IP : 222.123.28.103


ความคิดเห็นที่ 14 (488063)
...ศาลา 4 ข้าวต้มฟรี แถมเกาเหลาลูกชิ้นให้ด้วย
ผู้แสดงความคิดเห็น ศาลาพักใจ ^^ วันที่ตอบ 2007-01-19 16:53:25 IP : 202.139.211.254


ความคิดเห็นที่ 15 (488068)

อาไร้แปลก รุ่นอะจ๊านก็ต้องพรรค์นั้นแหละ สมัยนั้นยังไม่มีนาฬิกาไม่ใช่เหรอ..อิ๊ อิ๊

ไร..ท่านพี่จะหนีไปที่ชอบ ที่ชอบได้ไง อยู่ใช้กรรมนาน ๆ ก่อนดิ ตัดช่องน้อยแต่พอตัวเรื่อยนะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ข้าพเจ้า วันที่ตอบ 2007-01-19 16:58:49 IP : 124.157.160.190


ความคิดเห็นที่ 16 (488477)
คงเหมือนนาฬิกานะ สมัยก่อนคนโบราณมองตะวันแล้วกะเอา ช่วงเช้า ช่วงเพล เที่ยง บ่าย สมัยนี้มองนาฬิกาแล้วก็บอกได้เป๊ะ ๆ ว่ากี่โมง กี่โมง

แนวคิดนี้ถูกต้องครับ
ทั้งหมดเนื่องจากการพัฒนาขององค์ความรู้ครับ
ผู้แสดงความคิดเห็น สัจจะ วันที่ตอบ 2007-01-20 09:31:55 IP : 203.188.0.183


ความคิดเห็นที่ 17 (488483)
สำนักเรานั้นท่านปรมาจารย์จรัญ  พิกุล ท่านถึงเรียกชื่อชมรมว่า สกายคร็อก ไงล่ะครับ คนทั่วไปเห็นว่า ท้องฟ้ามันว่างๆ มีแต่ดาว กะขี้เมฆ  แต่โหรกลับเห็นว่า เต็มไปด้วยจุดสมมติต่างๆที่มีอิทธิพล เพียบพร้อมมากมาย  เหมือนตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกา และดวงดาราคือเข็มชี้ ต้องเรียนรู้ถึงจะมีปัญญามีดวงตาทิพย์ มองเห็น นาฬิกาฟ้าเรือนนี้  ซึ่งบอกความเป็นไปของทุกสิ่งในโลก และของจักรวาล
ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต วันที่ตอบ 2007-01-20 09:41:51 IP : 222.123.66.113



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.