ReadyPlanet.com


การเข้าอธิษฐานตัดชาติตัดภพคือ..............


อาจ๋านคับ มีเรื่องมาถามอีกแล้วคับ

การอธิษฐานตัดชาติตัดภพคืออะไรคับ แล้วเค้าบอกว่าถ้าทำได้จะสามารถแก้กรรมได้ จริงรึป่าวคับ

ช่วยอธิบายหื้อศิษย์ตัวเล็กตัวน้อยตาดำ ๆ ก้ำเต๊อะ

กราบพระคุณงาม ๆ เจ้า



ผู้ตั้งกระทู้ ศิษย์สุดท้องของสามช่า :: วันที่ลงประกาศ 2007-04-18 19:56:41 IP : 222.123.66.204


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (574870)
คือ คือ เป็น อยู่ คือ is am are คับ
ผู้แสดงความคิดเห็น ไม่ปรารถนาแดนเกิด เฮ้ออ วันที่ตอบ 2007-04-18 20:04:27 IP : 202.139.223.18


ความคิดเห็นที่ 2 (574930)

ที่ถามอาจ๋านเนียะ ไม่ได้อยากแก้กรรมอะไรหรอกนะฮับ แค่สนใจว่ามันคืออะไร ทำไมคนที่เชื่อเค้าถึงเชื่อมั่ก ๆ เท่านั้นเองคับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น น้องสุดท้องแค่อยากรู้ วันที่ตอบ 2007-04-18 20:26:11 IP : 222.123.66.204


ความคิดเห็นที่ 3 (574959)
คือ คือ เป็น อยู่ คือ is am are คับ
ผู้แสดงความคิดเห็น ไม่ปรารถนาแดนเกิด เฮ้ออ วันที่ตอบ 2007-04-18 20:40:02 IP : 202.139.223.18


ความคิดเห็นที่ 4 (574962)
ที่คุณ คห.1อธิบายมามันก็ถูกครับ ถูกอย่างมีชั้นเชิงขั้นนักเลงปรมัตถด้วยซ้ำ น่านับถือแท้ ขอขยายความหน่อยเถอะนะเรื่องนี้คันหัวใจมานานแล้ว ถ้าไปร้านหนังสือสัก 2-3 ปีมานี้ จะเห็นเรื่องแก้กรรมหนีกรรมล้างกรรม โดยเกจิอาจารย์เป็นพระองค์นึงแถวภาคกลางซึ่งให้สวดคาถาพาหุงมหากาฯ กับแม่ชีองค์นึงที่เปลี่ยนชื่อตนเองบ่อยและเปลี่ยนวัดหลายแห่งอยู่ อีกรายนึงก็แก้กรรมทำแท้งหรือกรรมอะไรต่อมิอะไรสไตล์นางกวักสาริกาที่ร้อง นะ นะ และอีกรายนึงที่ชื่อคนแต่งอะไรที่คล้ายๆหญ้าน่ะ ... ทั้งหมดนั้นเน้นเรื่องกรรมและการแก้กรรมตามแนวทางของแต่ละท่านแต่ละสำนัก ที่ว่ามานี้ไม่ได้คัดค้านต่อต้านแต่เห็นว่า..เชย ชะมัดญาติ เพราะเรื่องนี้เขาพูดกันมาก่อนพุทธกาลแล้ว ถ้าอ่านพระไตรปิฎกต้นฉบับจริงและศึกษาพุทธประวัติมาบ้างในแนวทางวิชาการเช่น อ่านพุทธธรรมของท่านพระพรหมคุณาภรณ์ ( ประยุทธ ) จะเห็นว่าทิษฐิสมัยก่อนและร่วมสมัยพุทธกาล มีมากมาย เท่าที่จำได้น่าจะเป็น 72 สำนักทีเดียวที่ว่าด้วยเรื่องกรรมและวิธีการแก้กรรม
ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต วันที่ตอบ 2007-04-18 20:40:59 IP : 203.150.104.106


ความคิดเห็นที่ 5 (575028)
พระพุทธเจ้า ท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่ประกาศว่าท่านมีวิธีแก้กรรมได้...จนกิตติศัพท์แพร่กระจายไปถึงหัวหน้าพราหมณ์สำนักหนึ่งชื่อ พาวรี มีสำนักงานตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ท่านอยากจะรู้มากถึงกับให้ลูกศิษย์จำนวน 16 คน จำคำถามคนละคำถามไปถาม รอนแรมไปถามกับพระพุทธเจ้า ซึ่งท่านก็แก้ปัญหาตอบได้ทั้งสิ้น จนเหล่าพราหมณ์คณะนี้ บรรลุพระอรหันต์จนหมด ปัญหาทั้ง 16 ปัญหานี้ เลยเรียกกันว่า โสฬสปัญหา ( โสฬสแปลว่า 16 ) นับถือกันเป็นตำราคัมภีร์สำคัญในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ซึ่งมีมาใน สุตตนิบาต พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ เล่มที่ 25 ข้อที่ 55 - 70 กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ค่อนข้างละเอียด พูดกันมา 2500 กว่าปีแล้ว ซึ่งเรียกวิธีการแก้กรรมนี้ว่า กัมมักขัย...ส่วนสมัยปัจจุบัน ถ้าสนใจเรื่องนี้จริงๆ อยากให้อ่าน หนังสือชื่อ อิทัปปัจจยตา เป็นหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มที่ 12 ของท่านพุทธทาสภิกขุ ซึ่งหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังสือ 100 เล่มที่คนไทยต้องอ่าน ! แต่ทั้งหมดที่สรุปก็เหมือนที่ท่าน คห.1ตอบแหละครับ...ไม่เป็นทั้ง IS  AM  ARE หรือ เช่นนั้นเอง  Is that so?
ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต วันที่ตอบ 2007-04-18 21:14:21 IP : 203.150.104.106


ความคิดเห็นที่ 6 (575066)

สรุปคือว่ามันแล้วแต่ความเชื่อของแต่ละสำนักรึป่าวฮับ

การแก้กรรมภาคที่ศิษย์ ฯ ได้ยินมาเนียะ เรียกว่าการเข้าอธิษฐาน ได้ยินว่าต้องไปทำที่วัดชื่อดังแห่งหนึ่งในเชียงใหม่คับ ใช้เวลาทำ 3 วัน 7 วัน 12 วัน อะไรประมาณนั้น พี่คนที่จะไปบอกว่าของพี่เค้าต้องทำ 3 วัน แบบไม่ได้หลับไม่นอนเลยคับ แต่รายละเอียดยังไม่รู้ว่าทำยังไง เดี๋ยวเอาไว้ถ้าเค้ากลับมาแล้วจะถามดูคับ

แต่ตอนนี้อยากรู้เรื่องนี้จากประสบการณ์ของทั่นอาจ๋านนะฮับ จะกรุณายกตัวอย่างมาเล่าสู่กันฟังบ้างได้ไหมฮับ

ผู้แสดงความคิดเห็น น้องสุดท้องของสามช่า วันที่ตอบ 2007-04-18 21:32:29 IP : 222.123.66.204


ความคิดเห็นที่ 7 (575110)

อันนั้นเป็นกิจกรรมล้างสมองแนวเดียวกับสวดภาณยักษ์ เขาเรียกว่า ขบวนการแรงเยอร์ภาคธรรมะ ช่วงนี้กำลังฮิตแบบจตุคาม... ถ้าถามประสบการณ์ผม  ธรรมะเป็นเรื่องส่วนบุคคล อ่านหนังสือดีๆสักเล่มเช่นเล่มที่แนะนำนั่นแหละ อ่านไปตรองไป...ธรรมะไม่ใช่ของสำเร็จรูป มีเงินก็ซื้อหาไม่ได้ ต้องจิตจับกาย จับอาการ จับจิต จับอาการของจิตให้ทัน ล้างภาษา ล้างสมมติ รู้จักอวิชชา จึงจะเข้าสู่กระแสธรรมได้ เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวกับขบวนการอะไรทั้งนั้น  ... ถ้าเอาจริงเดี๋ยวก็ค่อยๆรู้เองแหละครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต วันที่ตอบ 2007-04-18 21:56:59 IP : 203.150.104.106


ความคิดเห็นที่ 8 (575141)

อันข้าเจ้านั้นเห็นด้วยกับทั่นอาจ๋านแต้ ๆ เจ้า

สาตุ๊ สาตุ๊ สาตุ๊

ผู้แสดงความคิดเห็น น้องสุดท้อง ฯ วันที่ตอบ 2007-04-18 22:20:48 IP : 222.123.66.204


ความคิดเห็นที่ 9 (575222)

 

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฟอร์ด เรนเจ้อร์  เอ๊ย ขบวนการ โจ๋ เรนเจ้อร์ มั้ยครับท่านอะจาน....  หรือไม่ก็ ฟอร์ด เอสเคป   อิ๊อิ๊

ป.ล.  สุญญตาธรรม  สุญญตาปริทรรศน์ ฉบับรวมเล่มบริบูรณ์  หากเราๆท่านๆมีโอกาส ก็น่าลองหาอ่านดูนะครับ  หนาปึ้กกกเชียวแหล่ะ 

ผู้แสดงความคิดเห็น ฮูลา ฮูล่า...เย็นแล้ว เย็นอีก วันที่ตอบ 2007-04-18 23:09:23 IP : 203.209.111.199


ความคิดเห็นที่ 10 (577829)

เจริญในธรรม(อุ๋ย..ขอโทษ) พอดีเมื่อกี้ เข้าเวป ธรรมะมา

ผมชอบธรรมะนะ อ่านแล้วสนุกดี หนังสือ ธรรมะเดี๋ยวนี้น่าอ่าน

จานคับ อ.เชื่อเรื่องการภาวนามั๊ย

ผู้แสดงความคิดเห็น a man วันที่ตอบ 2007-04-20 20:46:27 IP : 125.24.55.52


ความคิดเห็นที่ 11 (578060)
ต้องถามก่อนว่าภาวนาในความหมายของคุณคืออะไร? คืออาจจะไม่ตรงกันก็ได้นี่ครับ
ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต วันที่ตอบ 2007-04-20 23:40:08 IP : 203.154.81.156


ความคิดเห็นที่ 12 (578818)

การภาวนา ...ในความหมายที่ผมเข้าใจ คือ การทำสมาธิ หรือการ นั่งสมาธิ เนี่ยแหละครับ ไม่ว่าหลักสูตรธรรมะไหนๆ ก็บอกว่า เป็นบุญอันสูงสุดประมาณมิได้ ทำแล้วตัดกรรมอะไรประมาณนั้น ถ้าถึงขั้นนิพพานก็ไม่ต้องเกิดอีก

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น a man วันที่ตอบ 2007-04-21 19:37:48 IP : 125.24.54.177


ความคิดเห็นที่ 13 (579103)

นี่ไงครับที่ว่าไม่ตรงกันนั่นแหล่ะ..ตามความเข้าใจของผมที่ศึกษามางูๆปลาๆนั้น ถ้าอ่านจากพุทธประว้ติ จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงได้ปฐมฌานตั้งแต่เด็ก คือเคยไปดุพระบิดาไถนาแล้วลองนั่งสมาธิเพลิน..พระประยูรญาติเห็นว่าเป็นอัศจรรย์เพราะเงาไม้ไม่คล้อยตามตะวันแต่คงบังพระพุทธองค์เห็นเป็นปาฏิหารย์ พอท่านเสด็จออกผนวชก็ไปเรียนวิชาฌานสมาบัติได้ถึงขั้นอรูปฌานสูงสุดในสมัยนั้น คือ อากิญจัญ กับอารามดาบส และเนวสัญญาณาสัญญายตนกับท่านอุทกดาบส...ซึ่งสมัยนั้นสูงสุดเสมือนนิพพานในศาสนาพราหมณ์ทีเดียว...สำเร็จจนถึงขั้นท่านอาจารย์บอกว่าให้มาช่วยกันสอนสานุศิษย์..ซึ่งปรากฎว่าพระพุทธองค์ท่านปฏิเสธ...ท่านกลับปรารภว่า สิ่งเหล่านี้อาพาธได้คือเสื่อมได้เหมือนหินทับหญ้า...จากนั้น..จึงหาวิธีใหม่คือ ทรมานกายหวังจะให้เวทนาและประสาทความรู้สึกเจ็บปวดจนชาซึ่งวิธีนี้เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค..ซึ่งท่านก็เพียรไปจนถึงที่สุดแล้ว จนถึงกลับปรารภในเรื่องนี้ว่า เลยอีกนิดเดียวจะถึงขั้นเสียชีวิตกันทีเดียว...ก็ปรากฏว่ากิเลสยังไม่หมด...ดังนั้นการภาวนาดังวิธีที่กล่าวมาและการเคร่งเพ่งเพียรทรมานกายเป็นสิ่งที่พระองค์ไม่สนับสนุน...เรื่องนี้มีมาในบทธรรมจักรกัปปวัตตนสูตรครับ...สรุปว่าคือผมสรุปเอาเองว่า...ภาวนาที่คุณตอบมานั้นเลยไม่ตรงกันกับผมในความหมายนี้ครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต วันที่ตอบ 2007-04-22 02:46:00 IP : 203.154.82.40


ความคิดเห็นที่ 14 (579115)

ในมุมส่วนตัวผมเองนั้น ผมไม่คิดว่าการภาวนาคือการที่เรากระทำเพียงแค่ทำสมาธิหรือนั่งสมาธิ หรือพร่ำสวดมนต์ภาวนาเป็นประจำ หรือแม้นกระทั่งไปจะไปกระทำตามป่าเขาตามถ้ำ ฯลฯ  ผมก็อธิบายไม่ได้ล่ะครับ  ผมจำได้แค่ไม่กี่คำเอง 

แล้วอย่างที่ อ.ภารต กล่าวไว้ในความหมายข้างต้นนั้น  ผมก็รู้สึกในแนวเดียวกันนั้นๆครับ ( เอ่อ...ผมต้องขออำภัยในบางลีลา  เด๋วใครเขาจะหาว่าผมเป็นกองเชียร์ป๊ะป๋าภารต และหลงตัวเองน่ะ  อิอิ ;) อย่างเช่น คำว่า อัตตกิลมถานุโยค  อ่านแล้วมันอิ่มอ่ะคับ เคยอ่านผ่านตามาบ้าง นานมากแล้ว นานๆจะได้รับอรรถรส  คล้ายกับว่ามีเชื้อในใจซึ่งที่จริงชีวิตนี้ไม่เคยบวชเล้ย....

ผู้แสดงความคิดเห็น ^^ นอนแระ ไม่ไหวๆๆ วันที่ตอบ 2007-04-22 03:33:40 IP : 203.209.100.200


ความคิดเห็นที่ 15 (579201)

อัตตกิลมถานุโยค...แปลว่าการทรมานตนเพื่อสร้างตบะ...เช่นเรามักจะเห็นโยคีในศาสนาฮินดูทำอยู่ในประเทศอินเดียตามสารคดี..เช่นนอนตะปู อดอาหาร...เคยอ่านในพรสูตรว่าพระพุทธองค์ท่านอดอาหารจนผ่ายผอม...เอามามือจับท้องแทบจะรู้สึกถึงกระดูกสันหลัง และชนิดว่าเอามือลูบตามร่างกายรากขนตามตัวเน่า..ขนหลุดล่วงตามมือที่ลูบทีเดียว...และช่วงใกล้ปรินิพพานนั้นทรงเป็นโรคที่ภาษาบาลีเรียกว่า..ปักขันธิกาพาธ..คือถ่ายเป็นเลือด ซึ่งก็น่าจะสันนิฐานสาเหตุว่าคงเป็นผลลึกๆมาจากสมัยวัยหนุ่มที่ทรงทรมานกายดังกล่าว

ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต..เมื่อคืนนอนม่ายหลับ วันที่ตอบ 2007-04-22 09:42:19 IP : 203.150.194.26


ความคิดเห็นที่ 16 (579298)

อาหารเป็นพิษ หรือเปล่าค่ะ พระอาจารย์ ถึงนอนไม่หลับ รักษาสุขภาพนะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น บัวซึม วันที่ตอบ 2007-04-22 11:42:34 IP : 124.121.98.128


ความคิดเห็นที่ 17 (579618)

นี่ขนาดงูๆปลาๆ นะเนี่ย(อย่าง ผม คงได้แค่ เหลนงู เหลนปลา แหงๆเลย..!!) 

ที่อ.เขียนมา ผมเคยอ่านเจอมาแล้วทั้งนั้น แต่ขอโทษ.... ม่าย ข้าว จาย...... ม่าย รู้ เรื่อง!!!... พระไตรปิฎกก้ออ่าน อ่านได้ประมาณนับหน้ามิได้ .เพราะ.. งง เสียก่อน!!!

ผมเคยอ่านหนังสิอธรรมะต่างๆ ก็บอกว่า การทำสมาธิ หรือการสวดมนต์ เป็นอุบายทำให้ใจสงบ เพื่อให้จิตรู้เห็นตามจริง ให้จิตสว่าง ไม่ให้ถูกอบายครอบงำยังงี้ คำว่าอุบายมันก็หมายถึง หลอกตัวเองซิครับ

แล้วผมก็ว่าไอ้การทรมานตนเองแบบนั้นนะ...มันเป็นการเบียดเบียนตนเอง นะการบังคับให้นั่งนิ่งๆ เฉยๆเนี่ย แต่พอไม่ทำหรืทำไม่ได้ กลายเป็นไม่มีความเพียรไปอีก

ผมเลยไม่รู้จะเอาไงดี

แล้ว.......การภาวนาของอ. เป็นฉันใดครับ เผื่อมันจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้

(เอ.......นี่เราอยู่เวปไหนหว่า.........) 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น a man (เริ่ม ......หันเข้าหาพระธรรม) วันที่ตอบ 2007-04-22 19:21:48 IP : 125.24.59.177


ความคิดเห็นที่ 18 (579774)

ภาวนาในความเข้าใจของผมได้แก่ วิธีการ สติปัตฐาน 4 ได้แก่ การพิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม ซึ่งแตกต่างกับวิธีนั่งสมาธิเข้าฌาน สวดมนต์ แต่ปัจจุบันเขาเอามารวมจนแยกกันไม่ออก

ผู้แสดงความคิดเห็น ภารค วันที่ตอบ 2007-04-22 21:47:11 IP : 203.154.52.232


ความคิดเห็นที่ 19 (579822)

แล้ว....อ.ทำได้มั๊ย

ผมทำได้แค่ รู้กาย กับ รู้เวทนา....บางครั้ง คือพอ นึกขึ้นได้ ก็รู้ พอเผลอๆก็ลืม

แต่จิต กับ ธรรม เนี่ย ยังครับ...ยัง

( เข้าไปถามใน เวป ธรรมะ ผู้รู้ทั้งหลายเค้าก็ตอบเป็นภาษาธรรมะ...ไม่เคลียร์เลย ผมว่าด้วยเหตุนี้ อาจทำให้คนเข้าหาธรรมะกัน....ลำบากนาคับ)

อ.มีเคล็ดมั๊ย บอกใบ้นิดนึงได้ปะ   

ผู้แสดงความคิดเห็น a man.....คาใจ วันที่ตอบ 2007-04-22 22:34:52 IP : 125.24.59.177


ความคิดเห็นที่ 20 (580138)
มันมาทีละชั้นครับ  ก่อนอื่นต้องแยกให้ออกก่อนว่า สิ่งที่รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้ นั้นต่างกัน สิ่งที่รู้คือนาม  สิ่งที่ถูกรู้คือ รูป และพิศดารตรงที่ว่า จิตซึ่งไม่มีตัวนั้นซึ่งน่าจะเป็นนาม ดันกลับกลายมาเป็นสิ่งที่ถูกรู้คือเป็นรูป...สภาวะนั้นคือ จิตในจิต เช่นรู้ทันความคิดว่าคิดอะไรหรือเห็นความคิด ....ความคิดนั้นเป็นนามแต่ในที่นี้ดันถูกเห็นหรือถูกรู้ ดังนั้น ความคิดนี่เลยกลายเป็นรูป..ส่วนจิตที่เห็นความคิดนี่ก็กลายเป็นนาม..เพราะเป็นสิ่งที่รู้...นี่แหละคือ จิตในจิต...แต่เนื่องจากมิติเวลาและสถานที่นั้นทำให้เรารู้ได้ทีละขณะจิตเท่านั้น เราก็หมดภาวะจาก การเพ่งรู้ กายในกาย และเวทนาในเวทนาไป เหลือแต่เพ่ง จิตในจิต
ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...วิสัชชนา วันที่ตอบ 2007-04-23 00:18:30 IP : 203.154.52.232


ความคิดเห็นที่ 21 (580180)
แล้วมันจะเป็นรูปนาม อรูปนาม หรือสักแต่ว่าเป็นอ่ะ! ยิ่งได้ฟังได้อ่าน ยิ่งมันส์ในอารมณ์...
ผู้แสดงความคิดเห็น ส๊าาตุ๊ วันที่ตอบ 2007-04-23 00:35:02 IP : 202.139.223.18


ความคิดเห็นที่ 22 (580304)

กายในกาย พอจะรู้ทัน เพราะเป็นรูป เวทนาในเวทนา พอจะรู้ได้ เมื่อเกิดความรู้สึก( พอเอาสติมาจับถึงรู้สึกได้ ) 

แต่จิตในจิต เนี่ย ซิครับ ตามไม่ค่อยทัน ความคิดมักเกิดไปแล้ว ถึงรู้ได้ ถ้าเอาแต่จ้อง มันก็ไม่เกิด (คล้ายๆเวลาทำสมาธิ....อึดอัด) ให้รู้เฉยๆ......มันไม่ทัน อะคับ มันรู้ตอนก่อนเกิด(เพราะจ้องมัน) หรือไม่ก็เกิดไปแล้ว(รู้เมื่อเอาสติมาจับ)...น่ะ

จิตเนี่ย....มันไวจิงๆ คับ

อ.คับจะจัดการกับมันยังไงดี.... กว่าจะถึงตอนแยกตัวผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้......ยากชะมัด!!

เมื่อไหร่.........มันจะรู้เสียทีว่า....สักแต่ว่าเป็น

ผู้แสดงความคิดเห็น a man.....ปุจจฉา วันที่ตอบ 2007-04-23 07:06:20 IP : 125.24.59.177


ความคิดเห็นที่ 23 (580878)

ความคิดนี่มันแปลกครับ คิดตามธรรมชาติฟุ้งไปเรื่อยนี่ก็อย่างหนึ่ง   คิดเนื่องจากสิ่งเร้าที่เกิดขึ้นโดยขาดสติกำกับนี่ก็อย่างหนึ่ง และคิดที่มีสติกำกับเพื่อควบคุมความคิดนี่ก็อย่างหนึ่ง สติตัวหลังสุดนี่แหละ ที่เข้ามาจับมาควบคุมความคิด 2 อย่างแรก เขาถึงต้องฝึกให้รู้จักก่อนจากนั้นจึงค่อยๆตะล่อมสร้างความไวและปัญญาที่จะจด-จ้อง-จับ เหมือนเล่นโป้งแปะ เมื่อไหร่เจ้าสติไปจับความคิดได้ถ้าไม่เผลอ ความคิดนั้นจะขาดตอนทันที หายจากไปและถ้าสติแก่กล้าความคิดใหม่จะยังไม่เกิดจะว่างอยู่อย่างนั้นเป็นการรู้เนื้อรู้ตัวแต่พอเผลอแพล๊บเดียวสติอ่อนหลุดออกไปจากฐาน ความคิดก็จะฟุ้งขึ้นมาอีก จิตในจิตจึงต้องพุ่งไปที่ธรรมในธรรมอีกขั้นนึงครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...เขียนยังก๊ะแก่วัดแก่วา วันที่ตอบ 2007-04-23 13:20:35 IP : 222.123.86.82


ความคิดเห็นที่ 24 (580906)

สาธุ  สาธุ  สาธุ.

ผู้แสดงความคิดเห็น ปลาทองก้อมป่อง วันที่ตอบ 2007-04-23 13:56:27 IP : 61.19.65.221


ความคิดเห็นที่ 25 (580972)
อาเมน เกือบจะได้บวช (ซะเมื่อไหร่ อิอิ)
ผู้แสดงความคิดเห็น ห่างวัด..ใกล้บาร์ วันที่ตอบ 2007-04-23 14:57:39 IP : 202.139.223.18


ความคิดเห็นที่ 26 (581967)

จานคับ

งั้นต่อ ธรรมในธรรมเลยครับ ใกล้แล้วคับ...ใกล้แล้ว!!

ผู้แสดงความคิดเห็น a man .....ถามเข้าไป ไม่บรรลุ ไม่เลิก...ปุจจฉา วันที่ตอบ 2007-04-24 06:35:31 IP : 125.24.38.8


ความคิดเห็นที่ 27 (582174)

ในจิตนั้นมีธรรมชาติของจิต คือ บัญญัติ  มีสมมุติ มีภาษา และอุปาทาน ทั้งหมดมีอวิชชา ตามหลักที่ว่า อวิชชาทำให้เกิดสังขาร หรือแปลเป็นไทยว่า เพราะไม่รู้จึงปรุงแต่ง ซึ่งเป็นเงื่อนไขต้นของวงจรปฏิจจสมุปปบาท...ธรรมในธรรมจึงเป็นการแก้ที่ต้นเหตุคืออวิชชาโดยดับอวิชชาเปลี่ยนเป็นวิชชา โดยมีสติปัญญาเห็นความเป็นจริงในธรรมว่าเป็น อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา เห็นสมมติ ล้างบัญญัติ และจบภาษา ดังนั้นจึงเป็นจิตที่เห็นจิตนั้นเป็นธรรม และปัญญาที่เห็นธรรมนั้นจึงเป็นธรรมที่อยู่ในธรรม อัตตาตัวตนจะสลายไป ธรรมแรกเป็นตัวตนที่เห็นธรรม  จากนั้นธรรมนั้นจะสลายรวมกันไป ตัวผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ ก็เป็นเรื่องเดียวกัน สภาวะจะเหมือนเช่นการขับรถครับ เราคนที่ขับเป็นจะควบคุมทุกอย่าง ไม่ได้จดไม่ได้จ้องแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เมื่อใดส่วนใดมีปัญหาหรือการรบกวนผิดปรกติไป ก็จะเข้าไปควบคุมแก้ไขได้ทันท่วงทีไป จิตสภาวนี้ก็เช่นกัน กิเลสเกิดก็รู้ และแก้ไขได้ทันท่วงที จึงเป็นการเจริญสติอยู่ตลอดเวลา ...ดังนั้นการปฏิบัติขั้นนี้จึงเป็นการภาวนา ... เป็นปาฏิหารย์แห่งการตื่น...พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญว่า ทางนี้เป็นทางเดียว เอกยนมรรคโค...หรือทางสายเอก...สภาวะนี้มีอยู่ ไม่ใช่ดิน ไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่กลางวัน ใช่กลางคืน ไม่ใช่กาลเวลา ไม่ใช่อากาสา ไม่ใช่อรูปฌานชั้นสูงสุดใด ...ซึ่งสิ่งนั้นก็คือนิพพาน..นั่นเอง

ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...ว่าไปเรื่อย?? วันที่ตอบ 2007-04-24 09:52:40 IP : 203.150.103.155


ความคิดเห็นที่ 28 (583068)

นั่นคือ....จิตแห่งพุทธะ ใช่มั๊ยครับ บริสุทธิ์ สว่าง ไม่มีอวิชชาครอบงำ

ธรรมะ ...คือ ธรรมชาติ ของจิต ที่ไม่มีการ ปรุงแต่ง เพียงรู้ ว่า มีเกิดขึ้น...ตั้งอยู่ และ....ดับไป

เมื่อมีสติ....จิตไม่ไปจับ กับสิ่งที่ปรุงแต่ง จิตจึงเป็น....อิสระ

สาธุ......

ขอบพระคุณในทางธรรม ครับ...อาจารย์ ภารต

ผม.....อยากจะบอกว่า "Really nice to meet you"

ผู้แสดงความคิดเห็น a man ...ธรรมะ วันละนิด จิตเบิกบาน วันที่ตอบ 2007-04-24 19:59:34 IP : 125.24.49.251


ความคิดเห็นที่ 29 (862108)

การเข้าอธิษฐาน เท่าที่ทราบมิใช่การแก้กรรมหรือตัดชาติตัดภพแต่อย่างใด เป็นเพียงแต่เป็นการปฏิบัติวิปัสนากรรมมัฏฐานแบบเข้มข้นภายใต้แนวสติปัฏฐาน4 ของวัดพระธาตุศรีจอมทอง จ.เชียงใหม่ วิธีการ ก็คือ ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมที่วัดนี้ ต้องปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐาน4 คือการนั่งสมาธิเดินจงกรม ไม่ใช่การสวดท่องมนต์ดำแต่ประการใด ขั้นตอนคือ ปฏิบัตินั่งสมาธิเดินจงกรมตามแนวสติปัฏฐานสี่ โดยใช้วิธีพิจารณา กาย จิต ธรรม เวทนา ตามอาการยุบพองของท้อง ตามกริยาอาการในการเดินจงกรม ทำสลับกันไป ค่อยๆเพิ่มเวลาจากสิบห้านาทีไปจนถึง นั่ง1ชั่วโมงเดิน1ชั่วโมง การนั่งนั้นใช้การกำหนดพองยุบและการกำหนดจุดต่าง ๆ ในร่างกายรวมทั้งการตามรู้อารมณ์ อาการปวด อาการสบาย การแกว่งของจิต และอื่น ๆ โดยมีพระอาจารย์สอบอารมณ์ทุกเย็น(ง่ายๆคือเป็นที่ปรึกษาให้) ที่วัดนี้จะถือว่าการเกิดสภาวะธรรมต่าง ๆ และผู้ปฏิบัติเข้าไปรู้ได้ คือการเจริญวิปัสสนา สภาวะธรรมต่าง ๆ เช่น การมีอาการปวดตามแข้งขาแล้วกำหนดรู้ได้ ก็ถือว่าเกิดปัญญา คือรู้ในเวทนานั้น เรียกว่า เกิดทุกขญาณ ไม่ได้เป็นอะไรที่พิสดารเหนือธรรมชาติเลย วัดที่นี่เชื่อว่า ถ้าได้ปฏิบัติจนเกิดปัญญาถึงระดับหนึ่งแล้ว ผู้ปฏิบัติอาจบรรลุโสดาบันปัตติผล หรือแม้กระทั่งบันลุอรหัตผล (อาจจะ) จากการเกิดปัญญา หรือที่เรียกว่า ญาน (16ชนิด) การที่ว่าตัดชาติภพนั้นอาจเป็นไปได้ เพราะที่นี่เชื่อว่า การได้บรรลุโสดาบันปัตติผล (คือผู้เที่ยงที่จะไม่ลงอบาย แต่ยังมีความโกรธ และกามราคะอยู่บ้าง แต่รักษาศีล 5 ได้บริสุทธิ) จะทำให้บรรลุอรหัตผลในอีกไม่เกินเจ็ดชาติภพ และหากใครได้บรรลุอรหัตผลได้จริง ก็อาจเข้าถึงนิพพานไม่ต้องลงมาเกิดอีก

ผู้แสดงความคิดเห็น pipat วันที่ตอบ 2007-11-26 13:22:39 IP : 203.144.187.18


ความคิดเห็นที่ 30 (2003064)

มีคนๆ นึง กล่าวว่าให้นำเงินซึ่งเป็นส่วนของเขา(ต้องคืน)ไปทำบุญเพื่อตัดภพตัดชาติกันไป

ทั้งที่ไม่ได้เป็นคู่รัก เป็นอะไรกันเลย (แต่เป็นคนค่อนข้างใกล้ชิดนิดหน่อย)

มันหมายความว่าอย่างไร คะ ช่วยอธิบายด้วยค่ะ แล้วขอโทษนะคะ ไม่เคยได้ยินมาก่อน

จึงมาค้นหาคำตอบนี่ละคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น นินา วันที่ตอบ 2009-11-04 16:06:51 IP : 58.8.95.84



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.