ดวงทินวรรษ ในที่นี้ถือเป็นดวงวัยครับ แม้ภาพจะสร้างมาจากดวงจรทรานสิตก็ตาม  อนุโลมทำมุมกับดวงจรทรานสิตได้ เรื่องการเข้าทำมุมนั้น ขึ้นอยู่กับตัวมุมเองด้วย  ถ้ากุม ฉาก และเล็ง ก็มีระยะวังกะค่อนข้างมากหน่อย  โดยกุมแรงที่สุด

บางตำราให้ความแรง เข้า 7 องศาหรือ 2 นวางค์ ออก 3.30 องศา ส่วนเล็งหรือ 180 องศานั้น เข้า 3.30 องศาหรือ 1 นวางค์ ส่วนออกใช้ 2 องศา ส่วนฉากหรือ 90 องศานั้น ใช้ เข้า 2 องศา หลัง 1 องศา นอกนั้นในฮาโมนิคที่ 8 นี้ ให้ หน้า 1 หลัง 1 องศา ทั้งสิ้น อันนี้ว่าในแง่โหราศาสตร์แนวสากลครับ ถ้าเป็นตำรับของฮัมบูร์กแท้ๆ เขาใช้ 1 องศาล้วน ทั้งหน้าและหลัง ซึ่งให้ความคมชัดเฉียบขาดน่าประทับใจ ....

แต่ทั้งนี้แล้วแต่ประสบการณ์ของคนที่ใช้งานเป็นหลัก เพราะการตีความของโหราศาสตร์สากลแนวเดิม ยังให้ความหมายได้หลายหลากซึ่งมีกรอบเฉพาะที่บังคับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นฐานต่างๆ โดยเฉพาะ การแปลความหมายของการวิ่งเข้าหากับการวิ่งออกก็ให้ลีลาต่างกัน ส่วนศูนย์รังสีนั้น จะไม่เน้นเขาให้แปลตามคัมภีร์สูตรพระเคราะห์สนธิเท่านั้น

อาจานคะ

กรณีที่อาจาน บอกว่า การวิ่งเข้าหากับการวิ่งออกให้ลีลา ไม่เหมือนกัน ในที่นี้ ถ้าระยะการวิ่งเข้าหา เข้าอยู่ในระยะวังกะ ที่กำหนด  อาจหมายถึงเรื่องของเหตุการณ์ กำลังจะเกิดขึ้น และเมื่อโคจรเข้าทำมุมกันสนิท หมายถึงกำลังเกิดเหตุการณ์ แต่เมื่อเริ่มโคจร ออกแล้ว อิทธิพลก็จะเริ่มคลายตัวลง จนกระทั่งหลุดพ้นระยะวังกะ เหตุการณ์ นั้นๆจึงจะหมดอิทธิพลไป อิชั้นเข้าใจถูกต้องมั๊ยค่ะ แล้วอัตราการโคจรขณะนั้น จะให้ผลกับเหตูการณ์ ในลักษณะไหนคะ

ฟังดูโดยสามัญสำนึกแล้วน่าจะถูก..แต่จากประสบการณ์แล้ว...มีเรื่องจะเล่าให้ฟังพอสังเขป

ดั้งเดิมนั้น ในระยะ 30 องศาหรือ 1 ราศี แต่โบราณแล้วเขาก็นับว่ามีผลกระทบแล้ว แต่มันกว้างไปถ้าจะนับระยะเวลาในการแสดงผล อีกทั้งถ้าเป็นการสนธิเรือนต่อเรือนก็ถือว่าระยะ 30 องศาถือว่าใช้ได้

ทีนี้ลีลาความเฉียบคมนั้น ยิ่งใกล้เท่าใดก็ยิ่งวางเวลาในการเกิดเหตุการณ์ได้ใกล้เคียงมากขึ้น

ถ้าเราค่อยๆบีบเวลาจากพระเคราะห์วงนอก ทำมุม แล้วเข้าหาพระเคราะห์วงใน ทีละขั้นๆ ก็จะถึงขั้นกำหนดวันเวลาที่แน่นอนได้ โดยทั้งนี้ต้องเชื่อมสัมพันธ์กับดวงวัยในรูปแบบต่างๆ ยิ่งถ้ามีความคล้องจองทางโครงสร้างด้วยแล้วก็ยิ่งให้ความแม่นยำในการพยากรณ์ได้อย่างมั่นใจและแม่นยำในการกำหนดเวลายิ่งขึ้น จนถึงขั้นน่าพิศวงงงงวยทีเดียว...ในระดับบวกลบ 4 นาที!!

อู้หู! อาจานเก่งจังเลย อธิบายได้ชัดแจ๋วจริงๆ เริ่มเข้าใจขึ้นมาตะหงิดๆแล้วค่ะ อิชั้น(อยากเรียกตัวเองว่าหนูจริง จริ๊ง แต่เกรงจาย)

อิชั้น นะสงสัยมานานแล้วคะ เรื่องการทำปฎิกิริยาของดาวเนี่ย ว่ามันจะออกฤทธิ์ ได้ตอนไหน ห่วงแต่เรื่องของมุม ลืมภาพรวมอีกแล้ว

จานขา....แล้วสมมติว่าโครงสร้างของดาวที่ทำปฎิกิริยากัน มันแปลได้หลายความหมาย สงสัยว่า มันจะแสดงผลในทุกความหมายเป็นไปได้หรือไม่คะ หรือจะแค่อันใดอันหนึ่งเท่านั้น

เคยอ่าน หนังสือของท่านอ.พลตรีประยูร ท่านกล่าวว่า ผลของโครงสร้างดาวที่มาทำมุมกัน อาจมีความหมายหนึ่งๆ แต่ก็ยังคงมีความหมายที่เหลือด้วยอีกเช่นกัน เพียงแต่ต่างที่เราจะเลือกใช้ (อันนี้ อิชั้นเรียบเรียง ตามความเข้าใจ ไม่แน่ใจว่าตีความถูกต้องหรือไม่)

อีกประเด็นนึง การนำดวงวัยมาใช้ ดูดาวเฉพาะคุณสมบัติของเจ้าเรือนเท่านั้นได้หรือเปล่า ต้องดูมั๊ยคะว่าพื้นดวงเดิม ดาวดวงนั้นสถิตย์ที่ใด

รบกวนอธิบายอีกครั้งนะคะ

ในเรื่องดาวทำมุมกันเป็นศูนย์รังสีน่ะ เรื่องมันไม่ได้ง่ายแค่ (A+B)/2 เมื่อไหร่ โดยตัวมันเองก็ลึกลับซับซ้อนแล้ว  ถ้ามองเผินๆธรรมดาก็ไม่น่ามีอะไรพิศดารแต่เรื่องนี้แค่ขึ้นต้นก็ยอกย้อนแล้ว...เพราะถ้าไม่คิดไม่แปลกแต่ยิ่งคิดก็ยิ่งแปลก...อันนี้ก็กรณีหนึ่ง ยิ่งถ้าไปสนธิกับตัวดาวเองหรือศูนย์รังสี ยังแยกออกไปได้อีกตั้งหลายอย่างเช่น เข้าแกนโลกกับไม่เข้าก็ให้ผลต่างกัน อีกทั้งการสลับของการเข้าทำมุมของปัจจัยในศูนย์รังสีเอง หรือศูนย์รังสีกับจุดอิทธิพล หรือปัจจัย 4 ตัวทำมุมกัน..เรื่องนี้ท่านอาจารย์ ดร.พิชิต  ลิขิตกิจสมบูรณ์ ก็นำมาเรียบเรียงไว้แล้วอย่างพิศดารใน ตำราจานสองชั้น นอกจากนี้เรื่องดาวทำมุมกันเองเป็นรูปแบบต่างๆกัน ท่านอาจารย์ ดร.วินัย อวยพรประเสริฐ กับท่านยูเรสโตร ก็เคยนำมาเสนอเป็นตำราโหราศาสตร์ให้ได้ศึกษากัน ก็รวบรวมเก็บเล็กผสมน้อยปะติดปะต่อกันไป

โม้ไปโม้มา...ชาวบ้านเค้าก็รู้ไต๋กันหมดน่ะสิ  แล้วเราจะเอาอะไรมาเป็นทีเด็ดไม้ตายล่ะ  ไม่เอาแล้ว ...ต้องอุบไว้บ้างเดี๋ยวหมดมุข

อันที่จริงแล้วอาจารย์ภารตมีความรู้กว้างขวางและรู้จริงในโหราศาสตร์คงเขียนแหย่ลูกศิษย์เพื่อที่จะให้ตอบ ดังนั้นไมเห็นมีลูกศิษย์มาตอบเพราะคงจะกลัวอาจารย์มามุกไหนยังอ่านไต๋ไม่ออก ผมเลยลองถ่ายทอดความรู้เรื่องโค้งสุริยยาตร์ว่าในระบบโหราศาสตร์ยูเรเนียนหรือแบบสากลนั้นเมื่ออ่านพื้นดวงกำเนิดว่าแต่ละเรื่องในชีวิตนี้มีเรื่องอะไรบ้างเช่นมีการแต่งงาน มีดวงอุบัติเหตุ มีเหตุการณ์จะดีหรือร้ายอะไรบ้างในชีวิตเรา เมื่อสรุปเหตุแล้วที่นี้จะเกิดผลเมื่อไรล่ะจะต้องทำการหาว่าระยะใดจึงจะเป็นเรื่องดวงจรล่ะ  ดังนั้นจึงต้องทำดวงกำเนิดจร อาจจะเป็นดวงกำเนิดพร้อมกับดาวโดด ศูนย์รังสี หรือดาวไหวตัว_(sensitive point)จรออกไปตามวัยอายุของใครของมัน ดวงใครดวงมัน  ดวงจรที่ว่านี้คือเป็นการคิดว่าอาทิตย์จรภายหลังจากที่เกิดมาดูโลกแล้วกี่ปีหรืออาทิตย์เดินภายหลังจากวันเกิดไปแล้วมีสมผุสกี่องศา เกรณ์จรนี้อาจารย์จรัลเรียกว่าเกณฑ์องศาอายุ ทางโหราศาสตร์สากลในต่างประเทศเรียกว่าSolar Arc มีสูตรคืออาทิตย์จรปัจจุบันตั้งลบด้วยอาทิตย์กำเนิด ส่วนรายละเอียดยังมีอีกเยอะแยะ ต้องตามไปเรียนกับที่เว็ปนี้จึงจะรู้จริงว่าทายจรปีทายกันอย่างไรจากปีเป็นเดือน วัน นาที

ดังนั้นดวงเกณฑ์องศาอายุจร จึงไม่ใช่ดวงชะตาที่คำนวณขึ้นมาใหม่ ดาวเคราะห์และปัจจัยไม่ได้จรออกมาเหมือนกับดวงProgress แต่เป็นดวงกำเนิดจรออกมาเท่ากับระยะทางเดินของดวงอาทิตย์จรปัจจุบันไปลบค่าสมผุสอาทิตย์กำเนิด

ส่วนเรื่องดาวทิพย์ของทางยูเรเนียนเป็นการสังเคราะห์ จากสภาวะของธรรมชาติโดยการวิเคราะห์จาก ธาตุ ราศี คุณะ เหมือกับการสังเคราะห์ของทางยูเรเนียนว่าทำไมต้องตั้งจุดกรกฏไว้ข้างบน ซึ่งเป็นราศีต้นธาตุน้ำ ก็เพราะว่าธาตุน้ำเป็นสภาวะทั้ง4โดยธรรมชาติคือภายใน1ปีน้ำจะเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง(หิมะ) จุดเดือด(ความร้อน)เป็นไอละเหย(แก็ส)และกลายมาเป็นน้ำอีก ซึ่งในธาตุอีก3ธาตุไม่สมบูรณ์เท่ากับธาตุน้ำ กล่าวคือในตัวธาตุน้ำเองมีอาการครบเหมือน4ธาตุในตัวเอง ถ้าหากมีความลึกซึ้งเกี่ยวกับโหราศาสตร์แล้วก็จะสามารถจะสังเคราะห์ต่อไปโดยมีพื้นฐานที่ถูกต้อง ยึดแนวหลักการณ์จากโบราณ+หลักปรัชญา+จิตวิทยา อย่างเช่นดาวแห่งชีวิตคืออาทิตย์ ส่วนที่มีเวรกรรมต่อกรรมคือ อังคาร พหัส เสาร์ มฤตยู  ดาวแห่งจิตวิญญาณของตัวกูคือเมอริเดียนดาวที่เกี่ยวข้องคือ เนปจูน พลูโต คิวปิโด ฮาเดส ผูกยึดติดโดยจันทร์

ดาวแห่งสถานที พื้นที่คือลัคนามีชุดาวที่เกี่ยวข้องคือ เซอุส โครโนส อาพอนลอน เอตเมตอส ดาวเหล่านี้เชื่อมโยงไว้ด้วยราหู

ดาวแห่งสสารและพลังงาน โลกมีผลต่อความเคลื่อนไหว มนุษย์ถูกโลกควบคุมคือจุดเมษดาวที่เกี่ยวข้องคือพุธ ศุกร์ วัลคานุส โพไซดอน

โลกกับมนุษย์เชื่อมโยงกันด้วยอาทิตย์มนุษย์เชื่อมโยงกับดาวเคราะห์ด้วยจันทร์

โลก อาทิตย์ และจันทร์เชื่อมโยงกันด้ายราหู

ฮาเดสทำลายอดีต เนปจูนทำลายอนาคต พลูโตสร้างจากอดีต คิวปิโดสร้างอนาคต เซอุสซากปัจจุบัน ซึ่งตัวอย่างที่ยกมานี้เป็นแนวทางสังเคราะห์โดยอาศัยหลักทางปรัชญาและจิตวิทยา การเรียนเรื่องทางจิตวิทยา ปรัชญา ต้องอาศัยความเชื่อเป็นหลักก่อน แล้วจึงศึกษาหลักนั้นว่ามีเหตุผล มีประโยชน์ต่อเราคือนำไปใช้ได้หรือไม่

แต่เรื่องนี้ท่านปรมาจารย์พลตรีประยูร  พลอารีย์ ท่านเคลียร์ให้เหล่าลูกศิษย์ จบไปนานแล้วในเรื่อง ค่าดาวบวกโค้งเนี่ย...ว่าคงเป็นในแนวโลกหมุนดาวเดินสัมพัทธ์กับโลก  พอดีผมไปอ่านเจอใน หนังสือโหราศาสตร์สากลของท่านยูเรสโตร เขาบ่นเอาไว้ ใน หน้า 50 ก็เลยเอามาขยายให้รู้ว่า นักโหราที่อยู่วงนอกเขาคิดกันอย่างไรกับยูเรเนียน

พิมพ์หน้าผิด อีกแล้ว จากชื่อหนังสือ ถอดรหัสลับดวงดาว  โดย ยูเรสโตร  สำนักพิมพ์ อินฟอร์มิเดีย บุ๊คส์ .หน้า 150