มีหลายวิธีคับ  เช่นหาเฉพาะจุดดีประสาน วิชาซ่อมดวงสร้างเงื่อนไขที่ยอมรับได้เนี่ย  ท่านปรมาจารย์จรัญ  พิกุล ท่านมีแบบเฉพาะของท่าน ในเรื่องจาน 2 ชั้นแบบแนวท่านปรมาจารย์จรัญ  พิกุลครับ   ต้องเรียนต้องอธิบายกันยืดยาว  อย่างที่เรียกว่า  ชิงจังหวะฟ้า  คัดกรองพฤติกรรมครับ  เป็นแนวโหราสากลยูเรเนียนชั้นสูงคับ  หลักในกระทู้ที่คุณว่ามาก็เป็นอย่างหนึ่ง  แต่ที่ลึกกว่านี้มีอีกหลายแนวหลายวิธี 

ตามหลักการและเหตุผลก็ถูกต้องครับ  เหตุเพราะว่าต้องมีจุดเจ้าชะตาร่วม อันได้แก่ ( mc,as,su,mo,no,mc/as,mc/su,mc/mo,mc/no, as/su,as/mo,as/no,su/mo,su/no และ mo/no )
ตัวที่แรงๆนั้น ..คือตัวที่เน้นสี
  ก็ต้องแก้กันตามกรรมแหละคับ ว่า ต้องเริ่มให้ถูกจังหวะและระดับการยอมรับได้ในแง่ของความร้ายความแรงครับ  คนเรียนโหราศาสตร์สากลยูเรเนียนจะสามารถ เลือกเอาสิ่งเขาพอที่จะยอมรับได้....เรียกว่า  แนวโหราเพื่อชีวิตที่ดีกว่าครับ

การเลี่ยง หรือกันเหตุการณ์เรื่องต่างๆโดยกรรมวิธีโหราศาสตร์
เรื่องที่กล่าวมานี้ ท่านต้องเข้าใจในเรื่องของปรัชญาดาวให้ถ่องแท้เสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นดาวโดดดวงเดียว คู่ดาวศูนย์รังสี หรือการผสมของปรัชญาดาวสามดวง

วิธีการเลี่ยง หรือป้องกัน แก้ไขเหตุการณ์ต่างจากเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ก็แก้จากปรัชญาของความหมายปรัชญาดาวนั้นๆเช่นกัน

ตัวอย่างเช่น
ในดวงชะตาของ สองปรมาจารย์ยูเรเนียนของเราคือท่านอาจารย์ จรัญ พิกุล กับท่านอาจารย์ประยรู พลอารีย์ ท่านทั้งสองมีจุด อังคาร / เสาร์ ในดวงชะตาเท่ากับจุดโหราศาสตร์  โครงสร้างการดำเนินชีวิตของทั้งสองท่าน ขณะที่มีชีวิตอยู่ ในด้านโหราศาสตร์ ท่านก็จะมีการดำเนินไปแบบ เล่นโหราศาสตร์ไปแบบเล่นๆหยุดๆ เป็นพักๆ  ซึ่งท้ายสุดของชีวิตทั้งสองท่าน ก็คงเกี่ยวของกับโหราศาสตร์ จนจวบวาระสุดท้าย ที่ต้องเป็นไปตามดาวครับ

                                          พระเคราห์สนธิ ก็คือจุดที่แสดง "กรรม" ของเจ้าชะตา ซึ่ง นักพยากรณ์ส่วนใหญ่มักมองข้าม "ความแรง" และ "อิทธิพล" ของดาวที่ประกอบขึ้นเป็น "จุดอิทธิพล"     โดยเบื้องต้นนั้น ควรพิจารณาจากการวัด "ความแรง" ของดวงชะตาและ คุณสมบัติของดาวว่า "เป็นดาวเด่นในดวงชะตา" หรือไม่ ซึ่งโดยทั่วไปพบว่า ถูกมองข้ามโดยสิ้นเชิง

                                         วิธีการตรวจนั้นคงเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ของผู้ศึกษาโหราศาสตร์อย่างถูกต้อง ซึ่งผู้สนใจควรอ่านและพิจารณาสูตรในพระเคราะห์สนธิให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เสียก่อน มิฉะนั้นหากวัดความแรง ความเด่น ของดวงชะตาไม่ถูก อาจให้น้ำหนักในการพยากรณ์ผิดไปได้

                                           โดยเบื้องต้นแล้วหากอ่านคำแปลโดยตรงจากพระเคราะห์สนธิ อาจจะทำให้เข้าใจไปเองว่าคำแปลบางส่วนดูเป็นคำแปลที่ร้าย แต่ที่จริงแล้วในองค์ประกอบของพระเคราะห์สนธินั้น ยังมี "ตัวพระเคราะห์" เองที่ทำหน้าที่เป็นตัวขยายความหมายหรือหลากความหมายให้ พระเคราะห์ชุดนั้น ๆ มีความหมาย หรือ คำแปลที่แตกต่างกันออกไป โดยอาศัย "ความเป็นดาวเด่น" คือ ปัจจัยที่ประกอบในสูตรนั้น มีความสัมพันธ์กับ "จุดเจ้าชะตา" หรือสถิตในราศีเกณ์ เรือนเกณฑ์ หรือไม่เพียงไร

                                          หากปัจจัยเหล่านั้นมิใช่ดาวเด่นหรือมีความสัมพัธ์กับจุดเจ้าชะตาแล้วไซร้ ความ "น่าสนใจ" ในสูตรดาวนั้นย่อมลดลงไปตามส่วน กล่าวคือ  จุดอิทธิพลเหล่านั้นอาจให้ผลแต่เพียงเล็กน้อย หรือแทบไม่ให้ผลใด ใดเลยก็ได้

                                           ในอีกแง่หนึ่งหากพิจารณาแล้ว ดวงชะตาใด ๆ ก็อาจคำนวณเพื่อหาจุดอิทธิพลได้เหมือน ๆ กันทั้งนั้นเพียงต่างกันที่การจัดเรียง เช่นใคร ๆ ก็มีจุด นายกรัฐมนตรี (พฤ+คร-วล) หรือ คนใช้ (ศก+ฮด) ได้ทั้งนั้น แล้วจะเอาสิ่งใดมาตัดสินลำพังเพียงจุดนั้นสัมพันธ์กับจุดเจ้าชะตาจะเพียงพอหรือไม่

                                           โดยสรุปแล้ว จุดพยาการ์ทุกชุดย่อมมีแง่มุมที่ร้ายและดีในตัวของมันเอง ซึ่งการให้ผลนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าชะตาจะทำ "กรรม" ที่สอดคล้องต่อการให้ผลของจุดพยากรณ์ มากน้อย เพียงใด หรือคววรหลีกเลี่ยง หรือ ยอมรับมันแบบไหนเท่านั้น