ประเด็นคือหากมีผู้ถามว่าเหตุใดจึงใช้สมการชุดนั้น แล้วจึงไม่ใช้สมการชุดอื่นจะตอบอย่างไร อิอิ

เข้าใจว่าที่เขียนมานี่ น่าจะโยงถึงคห.ที่31

ไม่สุภาพเลยนะท่านมาแว้ว

ก็ต้องตอบว่ามันเป็นปรากฎการณ์   เฉกเช่น  รุ้งกินน้ำ  เห็นกันอยู่ทนโท่  แต่ก็รู้ๆกันอยู่ว่ามันไม่มีจริง   คณิตศาสตร์เป็นเพียงวิธีหนึ่งที่จะทำให้เข้าถึงนามธรรมที่เป็นธรรมชาตินี้  เรากำลังเรียนถึงอาตมันที่กำลังคล้องจองตามปรมาตมัน  แล้วหาทางอธิบายและเข้าถึงกระบวนการที่ว่านี้   ทุกอย่างกำลังเคลื่อนที่  ไม่ได้หยุดนิ่งแต่เราหยุดจักรวาลแบบ snap shot ผูกเรื่องวิเคราะห์เหตุการณ์ที่กำลังไหลเลื่อนนั้น  ให้เป็นผลลัพธ์  ตามที่ใจต้องการต่างหาก

กำลังจะบอกว่า  ดาว 3 ดวงนั้น  ไม่ได้ใช้เฉพาะกับอาทิตย์อย่างเดียว  แต่กับปัจจัยอื่นก็ใช้ได้  ทำให้เป็นการหาเกี่ยวกับจังหวะช่วงเวลาต่างๆ ตั้งแต่สั้นไปจนถึงยาวตามปัจจัยที่จะพิจารณา

ส่วนสมการหลายอย่าง  ณ  ขณะนั้นมีมากมายแต่ทำไมใช้สมการนี้นั้น   ก็คงเหมือนเช่น  กระบวนการคิดวิเคราะห์แหล่ะครับ  เรื่องเดียวกันความเร็วไม่เท่ากันจะว่าชำนาญก็อาจจะมีส่วนอยู่บ้างหรือ แนวทางสำนักบ้าง  แนวทางการเรียนรู้และการใช้งานบ้างกระมัง   หรือจะว่าเป็น  แบบอุปกรณ์อิเลคโทรนิค  พวก variable condenser มั้ง ที่เลือกคลื่นเฉพาะอันเดียว เข้าตัว  Diode  เป็น Detector  แล้วถึงจะ Amplifier ออกมาอีกทีเข้า ลำโพง output  ออกมายังไงล่ะ 

เรื่องดาว 3 ดวงหากเป็นดาวคนละดวงเข้าสมการ จะเป็นเรื่อง จุดอิทธิพล

แต่ดาว 3 ดวงที่เป็นดาวดวงเดียวกันมาสัมพันธ์กัน โดยฌฉพาะมี จุดเมษ เข้ามาร่วม เป็นเรื่องของ วงรอบ ที่ให้อิทธิพล ณ. ตำแหน่งนั้นอย่างเด่นชัด

การศึกษาโหราศาสตร์ มันเป็นเรื่องแปลกที่ เรื่องเดียวกัน มักจะมองต่างมุมกัน จากผลปรากฏการณ์ของปัจจัย

แต่ในสมการทางทฤษฏี คงต้องตายตัว เพื่องประโยชน์ในทางคำนวนสมการหาค่าของตำแหน่ง

ความรู้ เรียนเรียนรู้ และตัวรู้ จึงเป็นคนละเรื่อง ที่เป็นเรื่องเดียวกัน

ตอนแรกก็กะว่าจะใช้ฉายา  มีดบิน-ลี้กิมฮวงเหมือนกัน..แต่บทละครตัวนี้   มันไอแบบหอบหืดเกินไป  แถมอกหักขนากหนัก  เลยไม่เอาดีกว่า ( ผมไม่ชอบไอหอบมันทรมานเกินไป )

อย่าลืมความเพี้ยนเรื่องระนาบสูงต่ำ  หรือDeclination  และความเป็นวงรีของวงโคจร  ในความเป็นจริง  เชิงปรากฎการณ์กับทฤษฎีการคำนวณ  ทรงกลมฟ้ากับวงกลมบนจอ  ความใกล้ไกลของระยะทางจากโลก  รวมทั้งระยะวังกะ หรือ Orbit ของการทำมุม และปัจจัยอื่นๆอีกหลายตัวเช่นลีลาการโคจรของดาวในเชิงปรากฎการณ์เช่น พักร์ เสริด มนท์ 

ดังนั้นอะไรที่เป็นตายตัวนั้น จึงเป็นขีดจำกัดที่ว่า  ตายตัวในระดับไหนเพราะอาจจะมีหลายระดับในการยอมรับ

คห 57 นี่ก็ถูกและน่าฟังดีครับ โดยสามารถมองออกได้จาก A+B-C = D เมื่อ A, B, C, D บางตัวเป็น AR เรื่องนี้ต้องเข้าใจให้ชัดในหลักการพื้นฐานที่แท้จริง

ผมว่าคนที่ถามหรือคนที่ยังมีความสงสัยอยู่ หากยังไม่ได้เรียนกับอาจารย์ท่านใด เลือกอาจารย์สักท่านหนึ่งแล้วไปเรียนดีกว่านะครับ มา Solve ทางกระดาษนี่มันยาวและแตกแขนงประเด็นออกไปได้เยอะ

ผมมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ขออย่าได้ไปจัดว่าใครเป็นพวกนักทฤษฎีหรือปฏิบัติในแบบว่า ผู้ที่ใช้สมการตัวเลขคือทฤษฎี ส่วนผู้ที่หมุนจานจริงคือปฏิบัติเลยครับ

การใช้สมการตัวเลขนั้นก็เป็นการปฏิบัติอย่างหนึ่ง ปฏิบัติแบบแม่นยำเป๊ะ ๆ เลยด้วย และรู้ที่มาที่ไปพิสูจน์ได้ด้วย ส่วนผู้ที่หมุนจานก็เข้าถึงความจริงจากมุมมองของรูปภาพหรือเรขาคณิต (เลขเช่นกัน) เห็นชัด ๆ ทันทีในภาพสัญลักษณ์และขีดบอกองศานั้นไม่ต้องพิสูจน์ให้ยุ่งยาก (ในมุมตัวเลข)

ผู้ที่ใช้สมการตัวเลข พอตัวเลขมันมาเท่า ๆ กันจากการบวกลบคูณหารก็รู้สึกว่าต้องมีอะไรบางอย่างแน่ ๆ เลย มันถึงได้มาเท่ากัน

ผู้ที่หมุนจานนั้นพอหมุนวงใดมาบรรจบกันระหว่างดาวเดี่ยวหรือศูนย์รังสีหรือจุดอิทธิพลเข้า ก็จะรู้สึกเช่นกันว่า ต้องมีอะไรบางอย่างที่แสดงผลอยู่แถว ๆ ขีดนั้นแน่เลย

ถูกทั้งคู่ล่ะครับ และผิดทั้งคู่ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่เห็นนั้นผิดหรือถูกนั่นเอง สำคัญว่านักปฏิบัติที่แท้ต้องเห็นให้ถูก หรือเห็นถูกเป็นส่วนมาก (ที่มั่ว ๆ มั่งนั้นเป็นเรื่องธรรมดา มีทั้งฝั่งใช้สมการตัวเลข และจานหมุนจริง มันต้องมั่วก่อน (NE) จึงจะรู้จริงในที่สุด (PO))

สมัยหนึ่งมีผู้ชอบแบ่ง ทำเท่ ๆ ด้วยการแบ่งว่าท่านพุทธทาส (มหาเงื่อม) เป็นปัญญา ท่านโพธิรักษ์เป็นศีล ฝ่ายทาง "ธรรมกาย" เป็นสมาธิ มันก็ไม่ผิดหรอกหากแบ่งเพื่อวิเคราะห์วิจัยนัยยะที่โดดเด่น (ในสายตาผู้แบ่ง) แต่หากมีคนฟังที่เชื่อตามไปมาก ๆ เนี่ยมีปัญหา

ท่าน ป.อ.ปยุตฺโต (มหาประยุทธ์, พระพรหมคุณาภรณ์ในปัจจุบัน) ท่านเคยกล่าวในงานระลึกถึงท่านพุทธทาสคราวหนึ่งว่า เรื่องนี้ไม่จริงเลย ท่านพุทธทาสนั้นแปลจริงจังในพระไตรปิฏก

ท่านพุทธทาสหอบเอาพระไตรปิฏกไปเป็นตู้ ละทิ้งกรุงเทพฯ ไปอยู่ป่า (วัดธารน้ำไหลหรือสวนโมกข์เก่า) อย่างสันโดษคนเดียว จนเด็ก ๆ แถวนั้นเรียกว่า "พระบ้า" ผมว่าในขณะนั้นท่านทั้งแปลหรือตีความพระไตรปิฏกใหม่ (ปัญญา? ทฤษฎีที่ใครชอบแบ่ง?) ทั้งฝึกสมาธิ (สมถะ/วิปัสสนา) และรักษาศีลอย่างเคร่งครัดทีเดียว (ใครว่า พระบ้า?)

บางคนว่าท่านพุทธทาสเป็น "เซ็น" หรือนิยมมหายาน ก็ว่ากันไปแบบพวกคอลัมนิสม์หรือนักวิชาการมักแบ่งเพื่อให้มีอะไรทำในการจัดหมวดหมู่วิชาหรือผู้คน (เขาเป็นนั่นเป็นนี่กัน ตัวไม่รู้จะเป็นอะไร ก็เลยเป็นผู้แบ่งหรือกรรมการก็แล้วกัน)

จากมุมมองนี้ผมว่า ท่านพุทธทาสน่าจะได้เป็นพระธรรมปิฎกนะ (ตำแหน่งเดียวกับที่ท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ครองอยู่หลายปีนัก) เพราะท่านแปลหรือตีความพระไตรปิฎกใหม่ทั้งสามตะกร้า และทุกวันนี้เห็นหนังสือท่านเต็มบ้านเต็มเมือง เต็มร้านหนังสือ (ทั้งที่แต่ก่อนโดนด่า)

แต่ท่านพุทธทาสกลับครอง พระธรรมโกศาจารย์ อยู่หลายปี ส่วนท่าน ป.อ.ปยุตฺโต ก็ครอง พระธรรมปิฎก อยู่หลายปี หากแต่ท่าน ปัญญานันทภิกขุ วัดชลประท่านก็ครองพระธรรมโกศาจารย์ (ตำแหน่งเดียวกันกับเพื่อนสนิทของท่านคือ ท่านพุทธทาส แล้วใครจะจัดท่านปัญญานันทภิกขุ เป็นอะไร?) แล้วจึงละสังขารในฐานะ พระพรหมคุณาภรณ์

แล้วท่าน ป.อ.ปยุตฺโต ก็ครองฐานะ พระพรหมคุณภรณ์ อยู่ในปัจจุบัน เท่าที่ผมทราบและไปดูมา ท่าน ป.อ.ปยุตฺโต ก็รู้ ปฏิบัติ และสั่งสอนจริงทั้งศีล สมาธิ และปัญญา ทั้งหมดด้วย

ก็แบ่งไปทำไมมี เพียงแต่หากมีสิ่งใดที่แต่ละคน ๆ ยังขาดอยู่หรือยังไม่รู้ก็ทำให้รู้เสีย ก็จบ!

ฟังคุณอธิอธิบายในระยะหลังรู้สึกเป็นแนวธรรมะอธิบายได้ดีชัดเจนไม่คุยโวโอ้อวดไม่อ่านแล้วสับสน

เมื่อไทยเราแต่โบราณมา  ในทางพระศาสนาเขาแบ่งเป็น  สายพระสูตรครับ  โดยเอา มอญ เก่งวินัย  ไทยเก่งพระสูตร ส่วนพม่านั้นเก่งอภิธรรม   แต่ต้องบอกว่าแต่ในความเป็นจริง เมืองไทยนั้นเก่งอรรถกถาต่างหาก ( ซึงเป็นคัมภีร์ชั้นที่สอง ไม่ใช่พระไตรปิฎกเดิม ) ในกรุงศรีอยุธยาเท่าที่รู้กันนั้นไม่มีนักปราชญ์ทางภาษาบาลีเลย  ไม่มีคัมภร์ที่รจนาหรือแต่งขึ้นเป็นภาษาบาลีล้วนๆ เลย  แต่ในเมืองไทยในอาณาจักรล้านนากลับ ปรากฎว่า มีปราชญ์ทางภาษาบาลีแต่งคัมภีร์ภาษาบาลีไว้มากมาย  เช่น มังคลทีปนี  เวสสันดรทีปนี และ จักรวาฬทีปนี ฯลฯ และมีอีกหลายท่าน   อีกทั้งหลักสูตรภาษาบาลีของไทย ตั้งแต่รัชกาลที่ 2 มา ไม่มีการเรียนพระไตรปิฎกต้นฉบับเลย เพราะ เปรียญ 1 - 9 ใช้คัมภีร์ในชั้น อรรถกถาหรือฎีกาล้วนๆ  เพราะอ้างว่า  เรียนแปลอรรถกถาได้  ก็จะสามารถแปลพระไตรปิฎกได้เอง  ซึ่งก็จริง แต่นักการศึกษารุ่นใหม่กลับสงสัยในมติและวัตรปฏิบัติ  รุ่นใหม่ที่ว่านี้ คือ ร.4 นั่นเอง ท่านเป็นผู้ริเริ่มกลับไปหาต้นฉบับเค้าเดิม  โดยการตั้งธรรมยุตินิกาย และเป็นแนวทางให้รุ่นหลังต่อมา  คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส  ทำหลักสูตร ทั้งนักธรรมและบาลีแบบใหม่ขึ้นมาเป็นมาตรฐานแนว Textbook โดยตัดอภินิหารออกทั้งหมด  แล้วงานทั้งหมดก็สรุปหยุดอยู่แต่นั้น  ไม่ได้ขยายต่อ เพราะไม่มีใครกล้า   พระไทยและคนไทยก็เรียนพุทธศาสนาแนวนี้มาแต่นั้นเป็นมาตรฐาน  จนพศ.  2475 พระมหาเงื่อม  วัดปทุมคงคา  ซึ่งตอนนั้น สอบ ปธ.4 ตก  จนไม่อยากสอบต่อเพราะปิดโอกาสการแสดงออกในการแปลแบบแตกต่างจากครูแบบเถรตรง  ก็เลยกลับมาที่ไชยาบ้านเดิม เริมเรียนด้วยตนเองใหม่  อย่างจริงจัง  และเผยแพร่เป็นโดยออกเป็นหนังสือพุทธศาสนา ราย 3 เดือน  จน มเด็จพระพุทธโฆษาจารย์  วัดเทพศิรินทร์  ซึ่งเป็นผู้รักษาการณ์สมเด็จพระสังฆราชในขณะนั้น สนใจและสนับสนุนให้ขบคิดข้อธรรมชั้นสูงๆขึ้นไป  เช่นการอธิบายปฏิจจสมุปบาทแนวพระสูตร  ซึ่งต่างกับของไทยเดิมที่เป็นแนวอภิธรรมข้ามภพข้ามชาติ และแนวคัมภีร์วิสุทธิมรรค ไม่เป็นอกาลิโก หรือพิสูจน์ไม่ได้แบบวิทยาศาสตร์  ส่วนในหนังสือพุทธธรรมของทางเจ้าคุณประยุตต์  อธิบายทั้ง 2 แนวทาง  โดยแสดงที่มาทั้ง พระสูตร และ พระอภิธรรมซึ่งอยู่ในหมวด ชีวิตเป็นอย่างไรถือว่าเป็นการรับช่วงการทำงานกันต่อทางพระศาสนา  แม้กระทั่งการให้จำกัดความของคำว่า ธรรม ท่านพุทธทาสกับท่านเจ้าคุณ ก็ให้ประเด็นคำอธิบายที่แตกต่างกัน

ส่วนตำแหน่งธรรมโกศาจารน์นั้น  เพิ่งจะมีมาในยุคหลังนี้ เพราะท่านธรรมโกศาจารย์วัดราชบำรุงถูกข้อหาเดียวกับพระพิมลธรรม ทำให้ครองตำแหน่งนี้นานมากเกิน 30 ปี จนพระพิมลธรรม เลื่อนเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์แล้ว พระธรรมโกศาจารย์เลยเลื่อนเป็นพระพิมลธรรม ทำให้ตำแหน่งนี้มาตกแก่ท่านเจ้าคุณสวนโมกข์  ซึ่งครองชั้นเทพวิสุทธิเมธี อยู่  แต่ก็ถือเป็นเกียรติเพราะถือว่า  เป็นการยกย่องให้พระผู้ทรงพระไตรปิฏิก ซึ่งแปลตามความหมายขอ"ชุดหนังสือพระพุทธศาสนา ชุด ธรรมโฆษณ์ ซึ่งสร้างสรรโดยท่านพุทธทาสภิกขุ  ซึ่งแปลว่า ผู้โฆษณาธรรม  นั่นเอง

ส่วนท่านเจ้าคุณประยุตนั้น  ตำแหน่งของท่านจะตามหลังท่านเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์เสมอ ตั้งแต่เทพเวที ธรรมปิฎก แต่ก็มีพงศาวดารกระซิบมาจากวงในว่า  ตำแหน่งพระธรรมปิฎก  นั้น มหาเถระสมาคมรุ่นหลังๆจองกันไว้ให้ท่านโดยเฉพาะ โดยเทียบเท่าผลงาน พระถังซำจั๋ง  หรือ ที่เรียกว่า  พระตรีปิฏกาจารย์ ของจีน เพราะท่านโดนกดสมณศักดิ์ อยู่ชั้นราชนานมาก  เพราะพระผู้ใหญ่รุ่นนั้น  ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านเจ้าคุณเรานี่แหล่ะ  หาว่าท่านทิ้งไม่ยอมทำงานการปกครองคณะสงฆ์เอาแต่เขียนตำรา

ตามกันมิทันเล้ยยยยย... ท่านอาจารย์

ขอบคุณท่าน สมภาร-ต ช่วยเพิ่มข้อมูลวงในเรื่องการเลื่อนสมณศักดิ์ให้ สนุกดี ไม่ค่อยรู้ว่ามีเส้นสายกลใดกัน

ขอแก้ไข คห.59 ว่า ท่านปัญญานันทภิกขุ ละสังขารในตำแหน่ง พระพรหมังคลาจารย์ ไม่ใช่ พระพรหมคุณาภรณ์ ท่าน ป.อ.ปยุตฺโต ครองในช่วงมีชีวิตร่วมสมัยกันนั้นเอง (นึก ๆ อยู่ว่าต้องเขียนผิดอะไรสักอย่างหนึ่ง ตื่นมาก็นึกได้ว่าตรงนี้นี่เอง)

ท่านเจ้าคุณประยุทธ์  เรา  ท่านเคยเปรยเอาไว้ให้พวกลูกศิษย์ได้ยินว่า  ท่านโดนผู้ใหญ่ไม่ค่อยให้ความสำคัญ เท่าไหร่นัก  สมัยสอบ ปธ.9 ได้ตั้งแต่เป็นเณร  ก็เกือบจะไม่ได้เป็นนาคหลวง เพราะเขาลืมท่านกัน  เหตุที่ลืมเพราะท่านเรียนด้วยตนเอง  ไม่ได้เรียนจากสำนักอาจารย์ใด  จนสมเด็จกรมพระยาชัยนาถนเรนทร กล่าวถามสมเด็จพระสังฆราชวัดเบญจมบพิตร  ในงานพิธีที่วัดพระแก้ว ถึงนึกขึ้นได้จึงเอะอะรับเป็นนาคหลวง  พอจะตั้งฉายา ที อาจารย์เสถียรพงษ์  วรรณปก  ตอนนั้นเป็นสามเณรวัดทองนพคุณ  สมเด็จท่านโปรดปราน  ตั้งฉายาให้ว่า  ปุญยวรรณโณ  เพราะพริ้ง  พอสามเณรประยุทธ์  ไปหาขอฉายา  สมเด็จท่านพูดแบบส่งๆไปว่าเอา  ปยุตโต  ก็แล้วกัน  แหม ไม่คิดแบบอื่นแนว เปรียญ 9 เลย   พออายุครบ 26 ก็ตั้งเป็นเจ้าคุณชั้นศรี  ส่วนท่านอาจารย์เสถียรพงษ์ ลาสิกขาไม่ได้เป็น  เพราะเป็นเปรียญเอกอุ  มีตำแหน่งเป็นรองเลขาฯของมหาจุฬา  เพราะสมเด็จเกี่ยวท่านเป็นเลขาตัวจริง  แต่ไม่ได้ทำงานให้มหาจุฬา  กลับไปทำงานให้ สมเด็จวัดสามพระยา(ฟื้น) แทน  จนเลื่อนสมณะศักดิ์พรวดพลาด  ต่อมาเจ้าคุณท่านได้เป็นชั้นราช  แล้วโดนแป๊ก เนื่องจากลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส  ไปสอนที่ ม.เพนซิลวาเนีย  อเมริกา  ก่อนหน้าก็ว่าท่านติดตำแหน่งวัดที่อยู่เลื่อนต่อไม่ได้  เพราะเป็นวัดราษฎร์  ตันแค่ชั้นเทพ  ทางวัดสุทัศน์ แต่ก่อนไม่มีเปรียญสูงๆ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โสม ) มาขอให้นเจ้าคุณย้ายไปอยู่วัดสุทัศน์  ท่านก็ไม่ยอมไป ก็เลยไปได้มหาไสว วัดเทพธิดาไปแทน  แล้วได้เป็นเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์ จนบัดนี้  พอดีท่านติดข้อหาค้าพระกริ่ง เลยสะดุด  เจ้าคุณเลยแซงท่านทัน ในชั้นรองสมเด็จพระราชาคณะ ก็ต้องรอให้สมเด็จวัดสามพระยากับสมเด็จวัดโสมนัส ละสังขารพร้อมๆกันไปก่อน

อ๊าว นึกว่าเป็น ด๊อกฮอลิเดย์  เพื่อนนายอำเภอไวท์เอิร์บ ซะอีก เห็นยิงกระจุยเชียว...

เรื่องนี้จอห์น  สไตน์เบ็ค  เขียนไว้ภาษาโค-ตะ-ระ ยากเชียว สมัยเรียนอังกฤษ 3 โดนบังคับเป็นหลักสูตร  ขนาดอ่านฉบับแปลก็แล้ว และเพื่อนไปเสาะหา วีดีโอดิสม์ของดาต้าแมท  ลงขันกันสั่งจากนอกมาดูตั้งหลายรอบก็แล้ว ยังไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย  แถมเจอ Of Mice And Men ซ้ำ 2 เรื่องควบ  ปวดกาโหลกกว่าจะสอบผ่านมาได้แทบตาย แถมขึ้น ไปเจอ ด๊อกเตอร์ชิวาโก้  ในอังกฤษ 4 อีก อันนั้นขนาดดูจนครบหมดก็ยัง ไม่รู้เรื่องอยู่ดี เพราะเห็นแต่หิมะขาวโพลนไปทั้งเรื่องเลย  กว่าจะทู่ซี้ผ่านมาได้เล่นเอาหลอนจนถึงบัดนี้

remy hair long hair wigs longer if taken care of wigs needs to be not treated with hair pieces wigs hair pieces.