ใน ยูเรเนี่ยน "ดาวจริง&q...

ใน ยูเรเนี่ยน "ดาวจริง" กับ "ดาวสะท้อน" มันต่งกันอย่างไร
เรียน ผู้รู้ทั้งหลาย ส่งสัย ใน ยูเรเนี่ยน "ดาวจริง" กับ "ดาวสะท้อน" 1.) มันมีความหมาย เหมือนกัน หรือ ต่างกัน หรือไม่ ถ้าต่างกันต่างกัน กรณีใหน 2) มีผลต่อพื้นดวง กับ เวลาจร อย่างไร
ผู้ตั้งกระทู้ มือวางไร้อันดับ :: วันที่ลงประกาศ 2009-04-22 15:27:03 IP : 203.146.196.18

[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1928566)
ตอบข้อ 1 ดาวสะท้อนก็คือจุดอิทธิพล AR+AR-A นั่นเอง พอเขียนย่อตามความนิยมในประเทศไทยจึงได้ว่า -A เลยพาให้อาจมองว่าเป็นดาวเดี่ยว (ดาวจริง) หรือมีอิทธิพลรุนแรงเหมือนดาวเดี่ยว (ดาวจริง) ที่จริงแล้วจุดอิทธิพลก็เทียบได้กับดาวเดี่ยว (ดาวจริง) แต่จะมีผลก็ต่อจุดอิทธิพลนั้นทำมุมถึงดาวเดี่ยวอื่น (นี่ว่าโดยโครงสร้างที่ง่ายที่สุดเพื่อใช้อธิบายในที่นี้) โดยเฉพาะมุมทับ (เรียกว่าเกิดการ "ครบวงจร" ) โดยจะได้ว่า AR+AR-A = B หรือ AR+AR = A+B หรือ AR-A = B-AR (อันมองได้ว่าเป็นโครงสร้างแบบจตุโกณนั่นเอง) หรือมองแบบศูนย์รังสีก็จะได้ AR = A/B คือสามารถสำรวจง่าย ๆ ได้ว่าเมื่อใดที่มองเห็นในจานหมุนว่า มีดาวจริง B ทับดาวสะท้อน -A แสดงว่าเราได้พบ AR = A/B เข้าแล้ว หรือค่อย ๆ ไล่ได้ว่าที่จุดนั้นพบว่า -A = B เมื่อย้ายข้างก็จะได้ A+B = 0 โดยที่ 0 = AR+AR เพราะ AR = 0 ดังนั้นจะได้ A+B = AR+AR เมื่อเอา 2 หารตลอด จะได้ A/B = AR/AR หรือก็คือ A/B = AR ซึ่งสำคัญเพราะ AR เป็นจุดเจ้าชะตา (อาจพิสูจน์ได้อีกแบบว่า จาก A+B = 0 ทำให้เป็น A+B-AR = AR ได้ โดยที่ AR = 0 ย้ายข้างก็จะได้ A+B = AR+AR เมื่อเอา 2 หารตลอด จะได้ A/B = AR/AR หรือก็คือ A/B = AR) ไม่ทราบพื้นฐานผู้ถาม เลยตอบด้วยภาษาสมการแบบนี้ จึงไม่ทราบว่าสมมติฐานที่ใช้ตอบจะเหมาะสมหรือไม่ สำหรับข้อ 2 อาจเขียนได้เป็นหนังสือ 1 เล่ม ผมคิดว่า ไม่อาจตอบให้เข้าใจครบถ้วนได้ทางนี้ ขอให้ศึกษากับอาจารย์ด้วยคำพูดโดยตรง
ผู้แสดงความคิดเห็น อธิ วันที่ตอบ 2009-04-22 17:41:08 IP : 202.149.24.161

ความคิดเห็นที่ 2 (1928829)
1. ไม่ต่างกันครับ เหมือนดังแสงที่ส่องเข้าสายตาเราตรงๆ กับแสงที่สะท้อนกระจกเข้าสู่ตาเราครับ 2. มีผลต่อพื้นดวงปกติครับ บางทีก็เป็นเรื่องประกอบ บางทีก็เป็นตำแหน่งที่ชี้ให้ทราบชัดเจน กับเวลาจร ไม่เข้าใจในคำถามครับ
ผู้แสดงความคิดเห็น สัจจะ วันที่ตอบ 2009-04-23 11:56:29 IP : 118.172.96.28

ความคิดเห็นที่ 3 (1929248)
ถึงคุณสัจจะครับ ผมงงคำตอบของคุณในข้อ 2 ที่คุณตอบแล้วคุณก็บอกว่าไม่เข้าใจในคำถามครับ เอ คุณตอบเขาเป็นวรรคเป็นเวร แต่คุณสรุปลงท้ายว่า ไม่เข้ใจใน คำถามผมสงสัยว่าที่คุณตอบมันเป็นอย่างไรกันแน่ครับ งงจริง ๆ
ผู้แสดงความคิดเห็น ผู้เรียนรู้ วันที่ตอบ 2009-04-24 11:10:02 IP : 125.24.45.81

ความคิดเห็นที่ 4 (1929306)
คำถามผมสงสัยว่าที่คุณตอบมันเป็นอย่างไรกันแน่ครับ งงจริง ๆ ความเห็นที่ผมตอบตามที่ผมเข้าใจ และใช้ประจำครับ มีผลต่อพื้นดวง ผมตอบแล้วตามความเห็นที่กล่าวครับ กับ เวลาจร อย่างไร ที่ไม่เข้าใจ กับคำนี้เท่านั้น คือคุณกำลังจะหมายถึงอะไร จะเป็นเรื่องเวลาจรของโค้งอายุไข หรือจรท้องฟ้า หรือดาวสะท้อนจรบนท้องฟ้า ผมสับสนครับ
ผู้แสดงความคิดเห็น สัจจะ วันที่ตอบ 2009-04-24 13:03:09 IP : 58.9.210.226

ความคิดเห็นที่ 5 (1929541)

เรื่องดาวสะท้อน เป็นวิชายูเรเนียนแบบไทยๆ ตำราฝรั่งไม่ค่อยรู้จัก สังเกตได้ว่า ไม่ปรากฏในโปรแกรมโหราศาสตร์ใหญ่ๆ เช่น โซล่าร์ฟาย และอื่นๆ แต่มีมาใน ตัวลบ ของอาราเบียน และ ดวงฮาโมนิค ตรง Antisciaและ Contrascia

พี่ไทยเรานั้นนำมาใช้กันอย่างกว้างขวาง โดยท่าน 2 ปรมาจารย์ คือ ท่าน พลตรีประยูร และท่าน อาจารย์จรัญ

ความหมายคือ คุณสมบัติของดาวนั้นๆหรือปัจจัย นั้นๆ ที่ผ่านแกนโลกมา

การแปลความนั้น ให้แปลในมุมกลับคือถูกกระทำ

โดยใช้กุญแจ " ชาวบ้านเขาเห็นว่า... "

เป็นความรู้สึกนึกคิดและเข้าใจของคนอื่นที่มีต้อปัจจัย นั้นๆ

เช่น ศุกร์จริง = รสนิยมของเจ้าชะตา
ส่วน ศุกร์ สะท้อน = รสนิยมของเจ้าชะตาที่ชาวบ้านเขาเห็น

ซึ่งทั้ง 2 แบบให้ความหมายต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เพราะ เจ้าชะตาอาจจะคิดว่าเลิศวิลัย เพราะตัวเองชอบอย่างนั้น
แต่ชาวบ้านเขาอาจจะเห็น รสนิยมของเจ้าชะตา ...สตึ เฉิ่มเบ๊อะ แถมยังซังกาบ๊วย บ้าๆบอๆ ก็ได้

อยู่ที่ปัจจัยที่เข้ามาปรุง

เรื่อง สะท้อนนี้ เป็นทีเด็ดเคล็ดลับของโหรไทยพิศดารมากๆ คับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...เพิ่งจะมา วันที่ตอบ 2009-04-24 21:31:12 IP : 118.172.98.25

ความคิดเห็นที่ 6 (1929602)

ผมไม่แน่ใจว่าสะท้อนเป็นวิชายูเรเนียนแบบไทยๆจริงหรือเปล่า เพราะโปรแกรมฝรั่งส่วนใหญ่เป็นโหราศาสตร์สากล ไม่ได้ทำเพื่อยูเรเนียน จึงไม่ค่อยมีฟังก์ชั่นสะท้อน

แต่โปรแกรมฝรั่งยูเรเนียนที่ผมใช้อยู่คือ Nova Chartwheel มีปุ่มให้เลือกดาวสะท้อนครับ ทั้งสะท้อนแกนกรกฎ-มกร และสะท้อนแกนเมษ-ตุล

ผู้แสดงความคิดเห็น Pallas (pallas-at-horauranian-dot-com)วันที่ตอบ 2009-04-25 00:48:32 IP : 125.24.170.82

ความคิดเห็นที่ 7 (1929624)

เท่าที่ผมศึกษามาอย่างงูๆปลาๆแนวศิษย์ตามซอกมุมมืดของสำนักต่างๆ มีหลักฐานหลายอย่างเชื่อได้ว่า นักโหราศาสตร์ยูเรเนียนทั่วโลก รู้จักแต่เฉพาะ ปัจจัยวี เท่านั้น เพราะ วี ย่อมาจากภาษาเยอรมันว่า " Vorgeschoben " ซึ่งแปลว่า " ถูกทำให้เลื่อนไปข้างหน้า " ในกริยาช่อง 3 ของ " Vorschieben " ซึ่งแปลว่า " เลื่อนไปข้างหน้า"

ดังนั้น ทั้ง V1 , V2 ,รวมไปถึงสารพัด V ต่างๆ รู้สึกจะถึง V8 ในปัจจุบัน ( ตามโปรแกรม ยูเรนัส ของท่านหนุ่มพยากรณ์ )และ ปัจจัยสะท้อน ( Antisciszien ) มีใช้งานกันเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น

ในโรงเรียนโหราศาสตร์ฮัมบวร์ก ใช้หลักการสะท้อนเพื่อสร้างจุดอิทธิพล A+B-C เป็นหลักเท่านั้น ซึ่งโดยเนื้อหาจริงๆ เป็นการหาจุดสะท้อนของปัจจัย C รอบแกนศูนย์รังสี A/B

ในด้านโหราศาสตร์การเมือง จะใช้เฉพาะ จุดอิทธิพลประเภท กรกฏ+กรกฏ - A ซึ่งหมายถึง จุดสะท้อนของปัจจัยA รอบจุดกรกฏ แต่เพื่อความสะดวกในการคำนวณ เขามักจะใช้ เมษ+เมษ - A เข้ามาแทนโดยลดรูปเป็น 0+0-A = -A เพราะจุดเมษ = 0 องศานั่นเอง

ซึ่งต่างกันในจาน 360 องศา เพราะ กรกฏ+กรกฎ-A จะอยู่บนซักเดียวกับปัจจัย A

ส่วน เมษ+เมษ - A กลับอยู่คนละฝั่งของซีกโลกกับปัจจัย A เสมอ

เหตุที่เขาพูดๆกันในวงการว่า ยูเรเนียนนั้น เกิดที่เยอรมัน ( ฮัมบวร์ก ) โตที่อเมริกา ( อีเบอร์ติน ) แต่มาพัฒนากันที่ เมืองไทย( รร.โหราศาสตร์กรุงเทพ ) นั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าจะเป็นจริง

เท่าๆที่ค้นในเน็ต ยังไม่มีตำราโหราศาสตร์ยูเรเนียนแท้ๆที่ครอบคลุมทุกประเด็นเท่าที่มีในเมืองไทย

พี่ไทยเรา มีอัจฉริยะในวงการนี้มากมาย มีการต่อยอดในวิชานี้แตกต่างจากฝรั่งไปเยอะมากแล้ว ทั้งด้านการคำนวณและการพยากรณ์ รวมไปถึงการสร้างโปรแกรม จนฝรั่งยอมรับก็เยอะ และที่ฝรั่งไม่รู้ก็อีกมากอย่าว่าแต่คนไทยด้วยกันเลยครับ

จนแทบจะเรียกได้ว่า เป็นยูเรเนียนแบบไทยๆ ก็ไม่ผิดนัก

นี่เฉพาะแค่ยูเรเนียนนะคับ ถ้า สากลยูเรเนียนก็จะพิศดารไปอีกแนวหนึ่ง มันกว่านี้อีกแบบว่าใช้ทุกกระบวนท่าในวิชาโหราของโลกมายำใหญ่กันสนุกสนานแถมแม่นยำได้ลึกอย่างน่าพิศวง

ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...จำเขามาเล่าอีกทีนึงอ่ะ วันที่ตอบ 2009-04-25 08:17:14 IP : 118.172.52.218

ความคิดเห็นที่ 8 (1929654)
ทางโหราศาสตร์สากลเขาใช้สะท้อนในเรื่องแกนเมษ หรือมกร มาแต่โบราณแล้วครับ ในโปรแกรมโซล่าไฟล์ อยู่ในฟังชั่นของเรื่อง Hamonic ตามแถบที่เราเลีอกว่าจะเอา แบบ Antisciaสะท้อนแกนมกร หรือจะเอาแบบCotrasciaสะท้อนแกนเมษ เป็นวิชาอีกแขนงหนึ่ง ที่ผู้ศึกษาโหราศาสตร์สากลจะทราบว่ามีความสำคัญมาก ในเรื่องของความสัมพันธ์ซึ่งต้องศึกษาเป็นเรื่องๆไป เช่นเดียวกับวิชา ดวงชะตาวันเกิดครับ
ผู้แสดงความคิดเห็น สัจจะ วันที่ตอบ 2009-04-25 09:49:45 IP : 58.9.228.171

ความคิดเห็นที่ 9 (1929688)

ผมไม่อยากตัดสินว่า ประเทศอื่นไม่ได้ใช้เหมือนเมืองไทยจากการค้นในเน็ตครับ เพราะว่าในเน็ตเรามักค้นจากภาษาอังกฤษเป็นหลัก แต่ยูเรเนียนยังมีใช้กว้างขวางในประเทศทางยุโรปด้วย โดยเฉพาะต้นกำเนิดอย่างเยอรมนี และประเทศใกล้เคียงอย่าง ลัตเวีย

v1 v2 ครึ่งโค้ง 2 เท่าของโค้ง มีใช้ในโปรแกรมฝรั่งที่ผมใช้ครับ ถ้ามีใช้ ก็แปลว่า คนเขียนโปรแกรมก็ต้องทราบว่ามีใช้ในยูเรเนียนครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น Pallas (pallas-at-horauranian-dot-com)วันที่ตอบ 2009-04-25 11:34:12 IP : 125.24.175.151

ความคิดเห็นที่ 10 (1929773)

เท่าๆที่ค้นในเน็ต ยังไม่มีตำราโหราศาสตร์ยูเรเนียนแท้ๆที่ครอบคลุมทุกประเด็นเท่าที่มีในเมืองไทย

บารมีของท่านพลตรีประยูร พลอารีย์คับ ที่เอาเรื่องนี้ไปเผยแพร่ในเยอรมัน ช่วงปี 2511-2518 ทำให้ที่นั่นยอมรับ ถึงกับ ให้เราเปิดประชุมโหรโลกได้ ที่จุฬาในปี 2518

ทำให้จากนั้นเรื่องพวกนี้ถึงตีกลับไปเมืองนอกทำให้มีในโปรแกรมฝรั่งรุ่นหลังๆ ที่มาน่ะมาจากพี่ไทยนี่แหล่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...ยังยืนยันคับ วันที่ตอบ 2009-04-25 15:21:33 IP : 118.172.20.237

ความคิดเห็นที่ 11 (1929892)

ผมเชื่อมั่นในอัจริยภาพของปรมาจารย์ยูเรเนียนของไทยทั้งสองท่าน ไม่ว่าคัมภีร์สูตรพระเคราะห์สนธิที่น่าอ่านกว่าฉบับภาษาอังกฤษ และจานสองชั้นที่ฉายภาพพระเคราะห์สนธิให้เห็นออกมาอย่างชัดเจนและน่าทึ่งครับ

แต่ผมคิดว่า การสรุปจากการค้นในเน็ตว่า เมืองไทยเป็นคนที่ทำให้ฝรั่งหันกลับไปใช้เรื่องสะท้อน นั้น เป็นการสรุปที่มีหลักฐานค่อนข้างอ่อน ถ้าเล่าเอาสนุกในแวดวงโหรด้วยกัน ก็คงทำให้การสนทนาออกรสออกชาติ แต่ถ้าจะเชื่อถือจริงจัง ผมว่าเราคงต้องหาข้อมูลมากกว่านี้

ในสหรัฐฯนั้น เท่าที่ผมค้นจากบทความในตำราและวารสารต่างๆ บุคคลที่มีบทบาทสำคัญในวงการโหราศาสตร์ยูเรเนียนมีหลายท่าน แต่ในเมืองไทยจะคุ้นเคยกับนายฮันส์ นิกเกอร์มันน์เป็นหลัก อันที่จริงยังมีท่านอื่นอีก เช่น Richard Svehla, Charles Emerson, Charles Jayne, Reinhold Ebertin (ผู้นำแนวคิดจากฮัมบูร์กมาพัฒนาต่อเป็น Cosmobilology, ลูกชายของ Elsbeth Ebertin ลูกศิษย์ของวิตเตอ) Edith Wangemann (ลูกศิษย์ของวิตเตอในทศวรรษ 30 เมื่อย้ายมา USA ก็ตั้งกลุ่ม Cosmobilosophical astrology เน้นเรื่องการใช้ 7.5 องศา และจาน 30 องศา)

ที่ผมยกชื่อโหราจารย์ใน USA มาหลายท่าน เพื่อบอกว่า คนเหล่านั้นต่างก็พัฒนาเทคนิคโหราศาสตร์ยูเรเนียนที่ตนเองเรียนมาต่อยอดเป็นเทคนิคเฉพาะตัว มีบางท่านที่ตั้งเป็นสำนักและแต่งตำราใหม่เลย เช่น Ebertin, และก็มีหลายท่านอย่างฮันน์ นิกเกอร์มันน์ ที่สอนลูกศิษย์เยอะมากในนิวยอร์กนั้น กลับไม่ได้จัดพิมพ์ตำราตนเองเป็นหนังสือ แต่ทำเป็นเอกสารโรเนียวที่ให้กับลูกศิษย์ของเขา คล้ายๆกับที่อาจารย์ประยูรท่านเรียบเรียงขึ้นให้ลูกศิษย์แต่ละรุ่น และไม่ยอมให้จัดพิมพ์เป็นเรื่องเป็นราว ตำราของฮันน์เลยไม่ปรากฏในอินเตอร์เน็ต เราก็คงสรุปไม่ได้ว่า วิชาของฮันน์ไม่มีอยู่จริง (ลองไปดูสารานุกรมพระเคราะห์สนธิฉบับเจ้าชะตา ของอาจารย์ศรีกันย์ดูสิครับ ว่ามีอ้างอิงจากเอกสารของฮันน์หรือเปล่า เท่าที่ทราบที่มาของเอกสารนี้ไม่ได้มาง่ายๆนะครับ นักโหราศาสตร์รุ่นใหม่อยากจะซื้อยังหาได้ไม่ง่ายเลยแม้ในยุคอินเตอร์เน็ต)

ส่วนความสัมพันธ์ของอาจารย์ประยูรกับวงการโหราศาสตร์ในต่างประเทศนั้น ผมอนุมานเอาจากข้อมูลที่เท่าที่ค้นเจอรวมถึงเนื้อหาการประชุมโหราศาสตร์โลก เมื่อปี 2518 ว่า ท่านมีความสัมพันธ์อย่างดีเยี่ยมกับทางเยอรมัน แต่ยังไม่พบว่า มีความสัมพันธ์กับวงการโหราศาสตร์ในสหรัฐฯ จนเกิดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกัน ดังนั้น การจะสรุปว่า เรื่องราวที่เราสอนในเมืองไทย ตีกลับไปเมืองนอกทำให้โปรแกรมฝรั่งรุ่นหลังๆมาจากพี่ไทย อาจจะใช้จินตนาการมากไปซักหน่อย

อย่างโปรแกรม Solar Fire คนเขียนโปรแกรมคือคนออสเตรเลีย เริ่มเขียนเมื่อปี 1992 หรือโปรแกรม Nova Chartwheel คนเขียนคนแรกคือ Robert Hand เมื่อปี 1984 ถ้าจะเชื่อมโยงก็คงต้องหาการเชื่อมต่อไปยังคนเขียนโปรแกรมเหล่านี้ให้ได้ครับ แต่อย่าลืมว่า เรื่องการสะท้อนนั้น เป็นโหราศาสตร์ที่มีมาแต่โบราณนะครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น Pallas (pallas-at-horauranian-dot-com)วันที่ตอบ 2009-04-26 00:31:58 IP : 125.24.175.151

ความคิดเห็นที่ 12 (1929914)

เรื่องที่ว่ามานี้ผมไม่ได้ว่าเอาเองหรอกคับ ผมไปจำมาได้ พอเมื่อเช้านี้นึกออกว่าเคยอ่านเจอที่ไหน ปรากฎว่า มีมาใน หนังสือ รวมบทความโหราศาสตร์ ของ ท่านอาจารย์ ดร.วินัย อวยพรประเสริฐ หน้า 61 อยู่ในบทความชือ มรดกทางปัญญาจากพลตรีประยูร พลอารีย์ ปริศนานวัตกรรมถอดรหัสลับจักรวาล ของ สำนักพิมพ์รัศมีจันทร์

แต่เอ ! จะจริงรึเปล่านี่ ต้องถามท่านอาจารย์ ดร.วินัย ท่านดูแหล่ะคับ แหะๆ

อุตส่าห์บอกแล้วว่า ผมจำเขามาอีกที แบบรู้มาอย่างงูๆปลาๆ แนวศิษย์แอบเรียนตามซอกตามมุมมืดๆหลังไวท์บอร์ด

ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...อาศัยว่าเป็นคนจำแม่น วันที่ตอบ 2009-04-26 09:08:33 IP : 118.172.55.28

ความคิดเห็นที่ 13 (1929917)

ขอร่วมแสดงความคิดเห็นต่อกับบรรยากาศที่ Pallas นำพามา...

เรื่องประวัติศาสตร์นี่พูดยากนะ โดยเฉพาะในช่วงใกล้ ๆ ปี 1920 ขึ้นมา ยิ่งเข้มข้นมากในช่วง ปี 1970 คือมีการพัฒนาของโหราศาสตร์ไปอย่างมาก

ผมอยากจะคิดว่าเป็นผลมาจากโหราศาสตร์ยูเรเนียนได้รับการยอมรับอย่างสูงแล้วในช่วงนั้น จากการไม่กึกกักแบบอนุรักษ์นิยมของโหราศาสตร์กระแสหลัก (Traditional, Classical Astrology) โดยหลังจากงานของ Alfred Witte ได้รับการตีพิมพ์และแปลเป็นภาษาอังกฤษ (โดยเฉพาะ "Rules") ซึ่งก็มี Reinhold Ebertin สถาปนาชื่อใหม่ โดยตัดส่วนเฉพาะหลักการที่เข้าใจง่ายของ Alfred Witte ไป และตีพิมพ์ผลงานในทำนองเดียวกัน (CSI) โดยได้รับความสนใจจากโหราศาสตร์กระแสหลัก (Traditional, Classical Astrology) มาก เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องยอมรับเอาดาวทิพย์ (Transneptunians, TNPs) มาใช้ด้วย เพราะ Ebertin ตัดออกไป จึงเลือกจะนิยม Ebertin มากกว่า

การศึกษาซ้ำ แบบจะย้ำว่ามันมีมาแต่ดั้งเดิมแล้วของนัหโหราศาสตร์กระแสหลัก (Traditional, Classical Astrology) ก็เกิดขึ้นอย่างมากมาย (เพราะที่ยูเรเนียนประกาศใช้ และนิยามความหมายและวิธีปฏิบัติขึ้นอย่างชัดเจนนั้นมันน่าทึ่งจริง ๆ เลย) โดยมีหนังสือออกมาจำนวนมากเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ เช่น (โดยไม่อ้างที่มาหรือแรงจูงใจอย่างตรงไปตรงมานัก - ปักปำ!)

- ในส่วนของ จุดเมษ (Aries Point แทนที่จะย่อว่า AR ก็เบี่ยงไปย่อว่า AP) ซึ่งแสดงถึงการเกี่ยวข้องด้วยสาธารณะ/โลกอย่างมาก

- ในส่วนของ ราหู (Moon"s Node, Lunar Noode แต่นิยมจะไปรื้อตำนานเก่ามาอ้าง และใช้ว่า Dragon"s Head และ Dragon"s Tail)

- ในส่วนการให้ความสำคัญกับ MC ซึ่งโหราศาสตร์กระแสหลัก (Traditional, Classical Astrology) ให้ความสำคัญกับ AS ก็มีการศึกษา MC นี้อย่างมากขึ้น และนิยามแยกแยะระหว่าง MC, AS, SU, MO ก็เกิดความชัดเจนขึ้นโดยโหราศาสตร์ยูเรเนียน โดยโหราศาสตร์กระแสหลัก (Traditional, Classical Astrology) นำไปใช้อย่างไม่รู้ตัว (คือไม่ให้เครดิตเท่าที่ควร ในส่วนนิยามที่ชัดเจนขึ้นแล้วนั้น)

- ในส่วนของทฤษฎีการสะท้อน แต่อยากจะยอมรับเฉพาะส่วน Solstice Points เท่านั้น (คือ Midpoint รอบแกน AR นั่นเอง) ไม่ก้าวไปเต็มรูปของพระเคราะห์สนธิ (Planetary Pictures) ในระดับ A+B-C = D หรือ A+B = C+D โดยในส่วนนี้มีการเข้าใจผิดต่อนิยามของโหราศาสตร์ยูเรเนียนหรือ "Hamburg" เกิดขึ้นอย่างมาก คือสายโหราศาสตร์กระแสหลัก (Traditional, Classical Astrology) มักคิดว่าคำว่า Planetary Pictures นั้นใช้กับกรณี 3 ดาว คือจุดอิทธิพล เท่านั้น (ที่เขียนว่า A+B-C = D หรือ A+B = C+D นั่นแหละ) โดยเห็นว่าในส่วน Midpoint หรือ A/B = C นั้นเป็นต่างหาก ตั้งชื่อว่า Midpoint Pictures บ้าง, Midpoint Pattern บ้าง ซึ่งที่จริงแล้ว ทางโหราศาสตร์ยูเรเนียนหรือ "Hamburg" นั้นได้นิยามศัพท์ "Planetary Pictures" ขึ้นใช้โดยรวมรูปแบบดาวทำมุมต่อกันไว้ทั้งหมดเท่าที่เป็นไปได้ เรียกว่าอธิบายได้ตั้งแต่ดาวเดี่ยวถึงดาวเดี่ยว ถึงดาวเดี่ยวหลาย ๆ ตัว, A/B = C, C = A/B = ..., A+B-C = D, A+B = C+D, A-B = C-D, และอื่น ๆ อีก รวมทั้งการเลี่ยงคำ "Planetary Pictures" ไปใช้คำว่า "Planetary Pattern" ก็มี โหราศาสตร์ยูเรเนียนนั้นน่ายกย่องที่สุดก็คือการใช้คณิตศาสตร์พิสูจน์และสร้างเครื่องมือเป็นจานหมุน (Dial) อธิบายความสัมพันธ์เชิงมุมต่าง ๆ ระหว่างดาวนั้นเข้าเป็นทฤษฎีเดียว คือ "Planetary Pictures" นี่เป็นสำคัญ และขยายผลของรูปแบบตรีโกณ จตุโกณ ว่าสามารถใช้ได้แม้ A กับ B ไม่มีมุมสัมพันธ์ต่อกัน โดยพิสูจน์ได้ด้วยคณิตศาสตร์

- บางส่วนไปค้นคว้าใหม่ในส่วน Sensitive Points โดยเฉพาะ Arabian Parts/Lots ที่ใช้กันผิด ๆ ถูก ๆ แต่รอดชีวิตมาเรื่อย ๆ คือจุดองลาภ (Par Fortuna หรือ Part of Fortune ซึ่งมีแยกเป็นสำหรับคนเกิดกลางวันกลางคืน) มีการไปค้นกลับมาใช้ใหม่ และคิด Arabian/Arabic Parts/Lots นี้ขึ้นใช้ใหม่บ้าง มีการทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งขึ้นบ้างว่าตกลงมันคืออะไรกันแน่ (หลังจากที่โหราศาสตร์ยูเรเนียนพิสูจน์ นิยาม และนำเสนอออกไปแล้ว)

- เฉพาะส่วนศูนย์รังสี (Midpoints) ก็มีการนำมาลงลึกพิเศษเฉพาะบางอัน ได้แก่ MC/AS และ SU/MO

- ในส่วนของโค้งสุริยยาตร์ (Solar Arc Directions) ว่ามีมาแต่เดิม มีการค้นประวัติศาสตร์จาก Ptolemy, Greek, Roman, Arab, Hellennistic ฯลฯ จาก Primary Directions, ..., การใช้ค่าเฉลี่ยของ Naibod, ..., Secondary Progressions, Secondary Directions (ชื่อที่สับสน เกิดเพราะการแบ่งแยก ไม่อยากจะยอมรับกันนี่เอง), Solar Arcs Directions (น่าจะเป็น Secondary Directions นั่นเองโดยรูปศัพท์และความเกี่ยวเนื่องทางประวัติศาสตร์กับ Primary Directions รวมทั้งนิยามทางเทคนิคในส่วนที่มาของการหาค่าด้วย) เพื่อจะบอกว่า ฉันมีสิทธิจะใช้นะ เพราะมันมีมาก่อนแล้ว ที่จริงทุกคนก็มีสิทธิใช้ปัญญาอันวิวัฒน์มาโดยลำดับของมนุษย์ที่คิดขึ้นแล้วทั้งนั้น แต่ควรจะให้เครดิตผู้นำแนวคิดมาปฏิบัติพัฒนาให้เห็นจริงได้อย่างเหมาะสม

การค้นตำนานและตำราเก่าเกิดขึ้นอย่างมาก Robert Hand ก็เป็นผู้หนึ่งด้วยในการก่อตั้งโครงการรวบรวมและจัดเก็บคลังข้อมูล (Achieve) ขึ้น ยังมีคนอื่น ๆ อีกมาก ที่แปลงานเก่า ๆ ขึ้นพิมพ์ ถ้าเอ่ยชื่อก็จะมากไปใหญ่ ต้องไล่มาตั้งแต่สมัย Alan Leo, Dane Rudhyar, ...มาจนถึง Dan McBroom (ซึ่งดูเหมือนจะยังเข้าใจไม่ถึงเท่าที่ควรนัก) ลูกศิษย์คนหนึ่งของ Noel Tyl นี้เลย

ทุกคนก็ล้วนแต่นำความรู้มาคิดต่อ สังเคราะห์มุมมองใหม่ ๆ ขึ้นอีก อธิบายให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นด้วยภาษาอีกแบบ น่ายกย่องทุกคนครับ บางอย่างสิ่งที่เขาอยากบอก ผมกลับไม่ได้ ผลกลับไปมองเห็นแง่มุมอื่นที่นำมาคิดต่อได้ก็มี

ผมก็อ่านงานของท่านทั้งหลายนั้น (และที่ไม่ได้เอ่ยนาม) และได้มุมมองที่เอามาคิดต่ออีกมาก (และก็คิดออกว่า มันมีนัยอยู่เหมือนกันว่า ท่านเหล่านั้นก็เอามุมมองของคนก่อนหน้า โดยเฉพาะจากฝ่ายโหราศาสตร์ยูเรเนียนมาคิดต่อเช่นกัน โดยเอ่ยให้เครดิตกับคนเก่า ๆ ที่คิดมาแล้วในระดับที่แตกต่างกันไป จะมีก็ Reinhold Ebertin ที่ได้รับการเอ่ยนามมากที่สุด เหตุผลก็เพราะดูจะเข้าหรือเป็นที่ยอมรับได้โดยไม่เสียหน้ามากนักกับฝ่ายโหราศาสตร์สากล (Traditional, Classical Astrology)

สรุปว่า ผมเห็นว่า วงการโหราศาสตร์จะพัฒนาอย่างเป็นวิชาการได้ ใครคิดอะไรได้ต้องบันทึกหรือเขียนออกมา ให้ผู้อื่นพิจารณา และผู้ที่นำไปใช้ไปคิดต่อก็ให้เครดิตกันตามควร และก็พัฒนากันต่อไป เราต้องสร้างวัฒนธรรมนี้ขึ้นให้ได้ วงการวรรณกรรม/ศิลปะทางโหราศาสตร์จึงจะได้รับการยอมรับใกล้เคียง "ศาสตร์" และเพื่อลดวัฒนธรรมเก่า ๆ ที่ทำให้วงการโหราศาสตร์เป็นเรื่องของความงมงาย จนต้องสร้างความเชื่อถือกันด้วยวิธีข่มขวัญต่าง ๆ (เช่น ระหว่างหมอดูกับลูกค้า, อาจารย์กับศิษย์, การพัฒนากับการลบหลู่ ฯลฯ) หรืออ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ

ที่จริงผมเข้ามาพูดคุยกับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ไม่นานเลย ก็พยายามจะสอดแทรกแนวคิดที่จะสร้างวัฒนธรรมบางอย่างอยู่ การต่อต้านก็มีประปราย ผมก็เลยหลบไปเขียนลอย ๆ ลมไปที่บล็อคตัวเองโน้น (ไม่บอกว่าเวบไหน?) อยู่อย่างให้สม่ำเสมอ แบบให้ตรวจสอบได้ (และอาจเห็นบางอย่างที่ผมไม่เห็น แล้วคิดบางอย่างออกเพิ่มขึ้นอีก) โดยผมหวังว่าจะมีการสังเคราะห์ความรู้และมุมมองใหม่ ๆ ที่ทำให้เราเข้าถึงโหราศาสตร์กันมากขึ้นกว่านี้ ทุกวันนี้ผมเห็นว่าโหราศาสตร์ยูเรเนียนนั้นดีที่สุดแล้ว เข้าใกล้ที่สุดเต็มทีแล้ว แต่ขณะเดียวกันก็มีช่องว่างให้พัฒนาอะไรต่อได้อีก นี่เป็นความน่าสนใจของโหราศาสตณ์ยูเรเนียนโดยตรง คือให้ความรู้ที่รู้แล้ว และให้ความหวังที่จะรู้ในสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นไปอีก

วงการโหราศาสตร์ใด ๆ (ไม่ว่าไทย, สากล, ยูเรเนียน, ฯลฯ) จะไม่พัฒนาได้เลย หากไม่มีระบบการให้เครดิตที่ดีพอ (หรือระบบลิขสิทธิ์งานวรรณกรรมนั่นแหละมั้ง) เพราะจะทำให้ไม่มีใครกล้าเขียนอะไรออกมา กลัวคนอื่นแฮ๊บไปเป็นของตัวโดยปริยายมั่ง กลัวการถูกท้าทายจากการพิสูจน์ว่ามันไม่เป็นจริงบ้าง (และกลัวขาดทุนด้วย!)

ผมอยากจะให้กำลังใจว่า หลักการทุกอย่างเป็นจริงภายใต้สมมติฐานหนึ่ง ๆ เท่านั้น (แต่ต้องเป็นสมมติฐานที่ถูกต้อง) เหมือนการวิเคราะห์หุ้น, เศรษฐศาสตร์, การ MBA ต่าง ๆ น่ะ มันก็ใช้ได้หรือเป็นจริงแค่ระดับหนึ่ง (ที่เราพูดกันเล่น ๆ ว่า พวกนักทฤษฎี) เท่านั้นเช่นกัน

สงสัยจะจบไม่ลง จบแบบดื้อ ๆ ก็แล้วกัน สวัสดีครับ
หากผิดพลาดพลั้งไป ต้องขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ...

ผู้แสดงความคิดเห็น อธิ วันที่ตอบ 2009-04-26 09:25:48 IP : 58.9.56.95

ความคิดเห็นที่ 14 (1929920)

แต่เรื่องการแปลนั้น จุดปัจจัยสะท้อนนั้น ท่านอาจารย์จรัญ พิกุล ท่านให้แบบกุญแจในการแปลตามที่ว่าไว้แหล่ะคับ ซึ่งผมก็ใช้มาเยอะแยะมากมาย ก็ทำนายได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

เรื่องสะท้อนนี้ ท่านอาจารย์จรัญ กับท่านอาจารย์วรเชษฐ์ ตียเกษม ท่านค้นพบและเอามาพลิกแพลง ตรงเมอริเดียนสะท้อนได้อีก แบบพิศดารนัก โดยเฉพาะตัวตนทางจิตวิทยา แยกความหมายออกมาต่างจาก โปไซดอน และ โปรไซดอนสะท้อน ได้ไปอีกขั้นหนึ่ง

แล้วยังเอาเรื่องนี้ไปประยุกต์ เรื่อง การสถาปนาฟ้าดินมนุษย์ ในแนวดวงกาลชะตา ( Horary ) ได้หลักการพิเศษแนวหลักวิชาใหม่อย่างได้น่าทึ่งและน่าสนใจ

ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...ทีเด็ดเคล็ดลับพยากรณ์ วันที่ตอบ 2009-04-26 09:35:16 IP : 118.172.55.28

ความคิดเห็นที่ 15 (1929944)
พูดไปแล้ว ผมก็คงเหมือนผู้สนใจในวิชาโหราศาสตร์ในประเทศไทยส่วนมากคือ เป็นนักอ่านตามแผงหนังสือมุมตำราโหราภาษาไทย เก็บโน่นเก็บนี่สั่งสมมา จนพอรู้แล้วก็ไป หาครูต่อวิชาเอาบ้าง อ่านงานจากตำราต่างประเทศเท่าที่จะหาได้มาบ้าง ตามภูมิพื้นฐานความรู้รอบตัวแนวการสนใจ เช่น ตำราฝรั่งจาก ฐานข้อมูล Amazon . com เรื่อง Astrology สนใจอันไหนก็ไปสั่งซื้อมาอ่าน แล้วไปค้นหาต่อแบบอ่านฟรีในเน็ทบ้าง หรือหาตำราที่วางขายประกาศขายในเน็ทบ้างของเฉพาะสำนักโหรต่างๆในประเทศไทย มาเรียนมาศึกษาเอา แล้วก็ไปหาทางเรียนตามสำนักที่เปิดสอนต่างๆตามศรัทราความเชื่อ แบบไปต่อวิชาจากครูผู้รู้ พอได้แนวทางก็ไปค้นหาแนวของตนเองใช้ในการค้นคว้าต่อไป บางท่านก็จริงจังลงลึกไม่เลิก บางท่านก็เรียนเพื่อดูตัวเองและวงศ์วาน บ้างก็เอาไปประกอบอาชีพก็มี สนใจประเด็นไหนก็ว่าเป็นเรื่องๆไป บางทีก็มาเปรียบเทียบ หาเทคนิคจากสำนักต่างๆ ในการพยากรณ์ ซึ่งก็สนุกดี ความรู้แปลกๆทางโหราบางทีไม่ได้มาในห้องเรียน หรือ ตำรับตำราจากการอ่านอย่างเดียวคนเดียว แต่บ้างมักมาจากการพูดคุยสนทนากันกับท่านผู้รู้ ตามร้านกาแฟ โต๊ะก๊วยเตี๋ยว วงเหล้าวงข้าว ตามศาลาวัด หรือคุยกันระหว่างขับรถ หาจิ๊กซอร์ไปเรื่อย สั่งสมไปบางท่านก็บรรลุกันจนตกผลึกไปได้มากมาย ผมเองก็เข้ามาในวังวนของวิชานี้แบบบังเอิญแต่เนิ่นนานพอคลุกคลีกับผู้คนในวงการนี้เยอะ จนเชื่อว่า เมืองไทยนี้ (อีกแล้ว) มีผู้รู้เรื่องนี้เยอะ และเยอะมากด้วยชนิดเป็นสากลมาตรฐานซะด้วยสิ แต่มักจะเป็นสิงห์ซุ่ม มังกรแปลง เยอะแยะ ตามร้านหมอตี๋ พระสงฆ์องค์เจ้า วิศวกร นายแพทย์ ผู้พิพากษา อัยการ ทนาย ข้าราชการ พ่อค้า แม่ค้า ผู้คนในตลาด ฯลฯ สนุกคับ เฮฮากันดีพวกโหราเนี่ย
ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...แนวลูกทุ่งหมอรำลิเกตลก วันที่ตอบ 2009-04-26 10:53:35 IP : 118.172.55.28

ความคิดเห็นที่ 16 (1929951)

พูดไปแล้วติดลม วิชาโป๊ยยี่สี้เถียว ดวงจีนนั้น ผมงมงายศึกษาจากตำราภาษาไทย ภาษาอังกฤษที่พอจะหาซื้อมาอ่านได้อยู่หลายต่อหลายปี แต่อ่านภาษาจีนไม่รู้ ตำราที่ได้เต็มไปด้วยตารางสารพัดจนงงแสนงงมากมายเกินจะจำ สนใจแต่ติดแหงกคิดไม่ออกอยู่หลายๆปีเข้าจนเลิกเล่น วันดีคืนดีแวะกินน้ำหวานพักรถ แถวตลาดราชบุรี เห็นอาซ้อคนนึงขายน้ำไป มีตำราปฏิทินจีนผูกดวงกับแผ่นหมุนทำเองแบบโย้เย้ เขียนเป็นภาษาไทย ก็ยืนดูแกทำเขียนขยุกขยุย แผ่นมีหลายชั้นหลายสี ก็ถามแก ซ้อแกบอกว่า ของเตี่ยๆทำ เลยยกมือไหว้ขออนุญาตมาพิจารณา เพ่งแนวการทำอยู่พักนึง พอแกะออกเท่านั้น เหมือนผีเข้า วาบเลยคับ ทะลุปรุโปร่งเลย ร้องอ๋อ สารพัดตำราดวงจีน มันเห็นภาพออกหมดเลย เออแน่ะ บทมันจะได้จะเข้าใจ

โหราฝรั่งก็เหมือนๆกัน ท่านอาจารย์อารี สวัสดี ท่านเคยว่า ไอ้ที่แยกๆไปน่ะ ถ้าจับรวมกันได้สนิทเมื่อไหร่ ถือว่าเรียนจบ

ส่วนท่านปรมาจารย์จรัญ พิกุล ท่านบอกทายแม่นน่ะ ง่ายไป ต้องขี่ดาวท้าดวงได้ ไม่ให้แม่นตามดวงนี่สิ ถึงจะเรียนจบ

ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...ยังก้มหน้าก้มตาเรียนกันต่อไป วันที่ตอบ 2009-04-26 11:16:32 IP : 118.172.55.28

ความคิดเห็นที่ 17 (1930008)
มันเขี้ยวขออนุญาตแตกน้ำลายพล่ามต่ออีกว่า แนวการสะท้อนนั้น ในเมืองไทยมีใช้กันมานานอย่างเงียบเชียบตามลีลาของสำนัก นอกจากในแนวยูเรเนียนแล้ว ในทางโหราสากลคลาสสิค มีการนำมาจับกับเรื่องดวง Harmonic ของเรื่องปัจจัยสะท้อน Antiscia กับ Contrascia ในแนว Synastry จะเข้าใจเรื่อง สมพงษ์ดวงเจ้าชะตากับคู่ครอง ได้อย่างพิศดารพันลึก โดยเฉพาะ โหราบริการ แนวความรัก เซ๊กส์ และอารมณ์เพศ อารมณ์รัก เช่น จะทะลุปรุโปร่งว่า ดวงคู่สองคนนี้ ทำไมถึงเลิกลาหย่าร้าง ทำไมถึงงมงายหลงรักกันหัวปักปำ แบบยอมตายยอมฉิ บ .. ยอมเจ๊ง เรื่องการเบี่ยงเบนทางเพศ ทั้งสว่างและมืด ฯลฯ แนวปม Complex ทางจิตวิทยา ได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งถ้านำมาใช้ร่วมกับแนวยูเรเนียนแบบเดิมด้วย จะ ยิ่งทำนายได้ฉมังเป็นนักหนา เป็นวิชาตำราใหญ่ ยังหาที่ไหนพิมพ์ขายไม่ได้ตามท้องตลาดทั่วโลก ซึ่งเรื่องนี้ พี่ไทย ( อีกล่ะคับ ) ที่คิดประดิษฐ์กันออกมาได้
ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...ไทยประดิษฐ์ วันที่ตอบ 2009-04-26 14:21:07 IP : 118.172.1.247

ความคิดเห็นที่ 18 (1930129)

พูดถึงพี่ไทยเราแล้ว ขอต่ออีก...ตำราแนวเลข 7 ตัว มีมานานในคัมภีร์พรหมชาติ ท่านอาจารย์สำราญ สมุทวนิช ทำต่อไว้เป็นเลข 7 ตัว ต่อมาท่านนายกโหรปัจจุบัน อาจารย์ธนกร สินเกษม เอามาทำเป็น มหาสัตตเลข อาจารย์พันเอกพิเศษเอื้อน มณเฑียรทอง ทำแนว กุงกะชัมพุ์ และอาจารย์เจษฎา คำไหล ทำเจ็ดตัวเก้าฐาน ของอาจารย์เปล่ง เพ็งศรีทอง ทำคัมภีร์อังคะวิชาธาตุ ท่านอาจาย์พลูหลวงทำ 7 ตัวแต่ 12 เดือน 12 ปี ....

อิอิ...ส่วนผมคิดทำ วิชาสัตตเลขปริวรรต ออกมาได้ โดยจับกลืนเจ็ดตัวรวมทักษากับมหาภูติพม่าได้สนิท สำเร็จ เป็นคนแรกเชียวทายได้จ๊าบอีกต่างหาก

ก็แบบแนวพี่ไทยอีกแหล่ะคับ แนวพยากรณศาสตร์ เรียนง่ายทายคล่อง

ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...เล่นมาจนเลิกแล้ว วันที่ตอบ 2009-04-27 01:06:22 IP : 118.172.0.255

ความคิดเห็นที่ 19 (1930176)
เรื่อง องศาเซเบียน ก็เช่นกัน กลไกที่มานั้นแค่หลักพื้นฐานดั้งเดิมของโหราศาสตร์อันเก่าแก่เบื้องต้นที่เรามองข้ามไป คือ ราศี กับเรือนชะตา ธาตุ คุณะ เท่านั้นเอง พอเขาเอามานำเสนอในรูปแบบใหม่ ผู้คนที่ศึกษาโหราสนใจจดจำกันมากมายรายองศา บางทีเอามาเกทับกันซะอีกแน่ะ คือ ถ้าตำราฝรั่งเขียนน่ะโอเค ทั้งๆที่ถูกจูงกลับไปให้เป็นแบบท่องจำ ไม่รู้ที่มาที่ไปแบบ สิทธิการิยะ พวกคาถาอาคมโดยไม่รู้ตัว
ผู้แสดงความคิดเห็น €ฺณ@�T�&ฤ ๑z^“�IGํHbO2 ๚- `วeฺฮฒขฌ”z� A๓X๕ณ วันที่ตอบ 2009-04-27 09:41:07 IP : 118.172.61.131

ความคิดเห็นที่ 20 (1930230)
กลับมาที่คำถามเดิม (ซึ่งไม่รู้ว่าผู้ถามจะยังอ่านอยู่หรือเปล่า) หากมองว่า -A = AR+AR-A คือการวิ่งผ่านเมษ (ปรุงแต่ง 2 ครั้ง) แล้วผลออกที่ A ก็เข้าใจง่ายดีในเชิงปรัชญา ในทางปฏิบัตินั้นง่ายกว่า โดยเฉพาะเมื่อใช้จานหมุน คือหากพบ B ในตำแหน่งเดียวกันกับ -A แสดงว่าได้เจอ AR =A/B เข้าแล้ว ในทำนองเดียวกัน หากพบ B/C ในตำแหน่งเดียวกันกับ -A แสดงว่าได้เจอ AR = A//B/C (คือ A/(B/C))เข้าแล้ว และในทำนองเดียวกันอีก หากพบ B+C-D ในตำแหน่งเดียวกันกับ -A แสดงว่าได้เจอ AR = A/(B+C-D) เข้าแล้ว นี่เป็นคุณประโยชน์ของจานหมุนซึ่งถูกออกแบบขึ้นใช้ในทางปฏิบัติ โดยลดการบวกลบคูณหารที่บางคนเบื่อนัก (ที่จริงจานหมุนก็คือไม้โปร หรือสไลด์รูลของช่างเทคนิคนั่นเอง Alfred Witte เป็นช่างสำรวจรางวัดที่ดิน จึงมีมุมมองเรื่องนี้ดี และพอดีเขาเป็นนักโหราศาสตร์ด้วย จึงประดิษฐ์จานหมุนขึ้นใช้ในวงการโหราศาสตร์ได้เป็นคุณูปการต้นแบบ ให้เกิดการขยายผลเป็นจานหมุนอื่น ๆ ขึ้นอีกในมุมต่าง ๆ ทั้ง 90, 60, 45, 30, 22:30, 11:15, 7:30, 3:45 ฯลฯ) บางคนก็ไม่ได้ใช้องศาเป็นสเกล แต่อาจใช้วันที่ใน 1 ปี เวลาใน 1 วันไปเลยก็มี เพื่อสะดวกในการมอง (ว่าเหุการณ์จะเกิดเมื่อใด) โดยไม่ร้องแปลงองศาเป็นสเกลอื่น ๆ อีกที (พอถึงยุคคอมพ์ ก็คำนวณเอาตรง ๆ ไปเลย ว่าอะไรถึงอไรในมุมใด เมื่อไหร่ ภาพจานหมุนบนหน้าจอจึงใช้เป็นหลักใหญ่ในฐานเป็นเครื่องยืนยันความถูกต้องในมุมมองที่คุ้นชิน และใช้ศึกษาลีลาของดาวแทนฟ้าจริง) ว่าไปเรื่อย นอกเรื่องอีกละ จบดีกว่า
ผู้แสดงความคิดเห็น อธิ วันที่ตอบ 2009-04-27 11:42:27 IP : 119.31.67.42

ความคิดเห็นที่ 21 (1930440)

ประเด็นจาก คห.20

เรื่องเทคนิคจานกับคอมพิวเตอร์คำนวนเนี่ย เถียงกันไม่ค่อยจบคับ โหรเถียงกันมาหลายรุ่นแล้วด้วย สรุปว่าดีไปคนละอย่าง ใช้เครื่องนั้น ถูกตามทฤษฎีการคำนวน แต่เราลืมระยะวังกะที่ขยายตัวตามสมการตอนตรรกะย้ายข้าง เวลาใช้ในการพยากรณ์ ถ้าแกะจากเหตุการณ์ที่เกิดแล้ว จะสนุกสนานเพราะลากเข้าความได้หมด ส่วนการพยากรณ์ล่วงหน้า กลับกลายเป็น กองทัพจุดหนุนระดมมาทุกทิศทุกทางจนทายไม่ออก

ใช้จานจะเหลือตัวปัจจัยน้อยลง เอาเฉพาะตัวที่ทับกันจริงๆชัดๆ เห็นทั้งระบบและเชิงประจักษ์ และถ้ายิ่งใช้แบบสลับซับซ้อนเป็น จะให้รายละเอียดเป็นสมการดาวแม้จะพลิกแพลงรูปแบบบ้าง แต่ก็เหลือชัดๆไม่กี่สมการ ทำให้จับประเด็นได้ถูกต้องกว่า ใช้ในการพยากรณ์ล่วงหน้าได้เป็นอย่างดี

ส่วนเรื่อง องศาสเกล ตามค่า วี ในระยะ 1 องศา 1 ปีนั้น ถ้ามาแตกเป็นลิบดาและมากระจาย 365 วัน ทีละเขยิบนั้น

เท่าที่ผ่านมาใช้งานจริงไม่ได้ เพราะว่าความเป็นจริง ใช้ได้ดีในระยะ 1 องศา แต่ลงลิบดาวัน จะคลาดเคลื่อน เป็นการถูกวิธีคิด แต่ผิดวิธีทำ

การกำหนดวันเหตุการณ์ของระบบยูเรเนียน จึงไปใช้ แนววันสำคัญ ในรูปแบบปรากฎการณ์ ต่างๆในระยะเชิงมุมของ ค่าวีกับปัจจัย ซึ่งมีหลายสูตรไม่ต่ำกว่า 8 สูตร

และในทางปฎิบัติอีก การหาวันเกิดเหตุตามค่า วี ต่างๆนั้น ต้องย้อนกลับไปหาจาก ดวงชะตาแบบพลาสิดุสสากล ดูแนวโน้มของ ทรานสิตเอง และทรานสิตกับดวงชะตา จึงจะกำหนดวันเกิดเหตุได้

ซึ่งถ้ายังใช้มุม แนวฮาโมนิคที่ 8 จะฉมังเฉพาะเรื่องซวยและเรื่องร้าย เค้าถึงว่า ยูเรเนียนทายร้ายนั้นแม่นนักแม่นหนา กำหนดลงลึกได้ยัน 4 นาทีเชียว

แต่ทายเรื่องโชคกลับไม่ประทับใจ โหรรุ่นอาจารย์ท่านจึง จับมาผสมผสานอย่างกลมกลืนลงตัว ในการทำนายกำหนดเวลาโชค เรื่องดีๆ จาก แนวสากลคลาสสิคดั้งเดิมแทน โดยเอาแนวยูเรเนียนเป็นไกด์นำ ซึ่งสุดท้ายเหตุการณ์จริงมันจะไปลงตัวกันหมดทุกระบบ

เรื่องพวกนี้เป็นประสบการณ์จากการใช้งานจริงในสนามมาอย่างเนิ่นนาน ถึงรู้ว่า สุดท้ายต้องเลือกข้อดีในแต่ละรูปแบบมาใช้งาน เพื่อให้เข้าถึงการแก้ปัญหาตามที่ประสงค์ เพราะแต่ละอย่างจะมีขีดจำกัดของเขาเอง

จริงอย่างที่โบราณท่านว่า โหราศาสตร์ในโลกมีวิชาเดียวเท่านั้นไม่มีแบ่งแยก

ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...งึมงัมไปเรื่อยๆเปื่อยๆ วันที่ตอบ 2009-04-27 20:04:48 IP : 118.172.27.159

ความคิดเห็นที่ 22 (1930509)

ต้องขออนุญาตแสดงความเห็นตรง ๆ อีกสักครั้งว่า...

ผมคิดว่าอาจจะเป็นเพราะ "ความเคยชินของมุมมอง" ครับ จึงมองไม่เห็นในสิ่งที่แตกต่างหรืออาจจะละเอียดขึ้น ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้จากเครื่องมือเดิม ทั้งเรื่องจาน เรื่องโค้งฯ เรื่องมุมสัมพันธ์ และความเห็นอื่น ๆ ใน คห. 21 ถ้าเปิดห้องคุยกันอย่างเปิดกว้าง (แต่ปิดห้องเฉพาะคนที่รับกันได้) และใจเป็นกลาง (โดยไม่ใช่เชียร์กันเองในหมู่คณะตน มีอารมณ์หรือตัดบทเร็วเกินไป หรือเลือกที่จะพากันเชื่อตามอาจารย์โดยไม่ทันจะฟังจบ เพราะอาจคร้านจะเสียเวลาทำความเข้าใจในมุมมองอื่นหรือละเอียดขึ้น)

วงจรแห่งความเสื่อมของโหราศาสตร์ นั้นเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า... คิดว่าตนรู้พอแล้ว เคยชินกับเครื่องมือเก่า ๆ คิดว่ามีความรู้วิเศษอยู่ (เคล็ดลับที่กลายเป็นเคล็ดขัดยอก กลายเป็นขยะความเชื่อในวงการเต็มไป) และไม่เผยแพร่ให้คนอื่นพิสูจน์ ทั้งรู้ว่าไม่ใช่ถูกเสมอหรืออธิบายไม่ได้ (เอาไว้เรียกแขก มาร์เก็ตติ้ง หรือหลงคิดตามกันไปเองว่าวิเศษ เออออกันเองเพราะอาจารย์เราเป็นผู้คิด) โดนจะบอกก็เฉพาะในหมู่ลูกศิษย์ ซึ่งถ้าใครอยากจะรู้ ก็ต้องยอมรับเป็นอาจารย์ก่อนจึงให้เรียน พอเข้ามาเรียนแล้ว พิสูจน์แล้วว่าอาจจะไม่ใช่ ก็ไม่กล้าเสียงดัง ได้แต่หัวร่อทำหน้าเจื่อย ๆ กันไป เพราะเป็นศิษย์เขาไปแล้วนี่ จะพูดมากไปได้ยังไง เขาจะได้หาว่าลบหลู่ครูบาอาจารย์ สังคมไทยไม่ยอมรับ ไม่ให้ตั้งคำถามกับอาจารย์ ท่านไหนผิดก็เงียบ ๆ ไว้ "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" (และห้ามพูดมาก ห้ามแสดงเหตุผล หรือความจริงคัดค้าน เราไม่ต้องการการพัฒนาขนาดนั้น เราต้องการอยู่กันอย่างนี้ ลูกค้ามาสู่ทุกวัน ผลประโยชน์ใครก็ของใคร) สุดท้ายอาจกลายเป็นความเชื่อถือผิด ๆ เพราะพวกมาก (พวกเดียวกันยกกันเอง) ไม่ยอมให้พิสูจน์ในวงกว้าง (อย่างที่อยากจะให้สร้างวัฒนธรรมใหม่กันตามที่เสนอ คือแสดงเป็นลายลักษณ์อักษรออกมา อธิบายออกมา ให้พิสูจน์ใช้กันว่าอะไรใช่ ใช่แค่ไหน ในกรณีใดบ้าง อะไรใช่เพราะเพียงใช้ศิลป์ตีความเข้าตัวเองจนหลงกับมัน)

ถ้าจะพัฒนา อาจารย์ต้องวางท่าทีใหม่ ไม่ใช่อย่างข้างต้น (รวมทั้งลูกสำนักด้วย) เอาอย่างวัฒนธรรมฝรั่ง (เฉพาะในส่วนที่เขาดี) คือแสดงออกมาเป็นหลักฐาน อธิบายเท่าที่อธิบายได้ อธิบายไม่ได้แต่คิดว่าจริง ก็แสดงไว้ให้รอการพิสูจน์กันต่อไป แสดงให้เป็นวิชาการอย่างพร้อมที่จะให้พิสูจน์และวิจารณ์ อย่างพร้อมจะรับฟังและปลดปล่อยตัวเองไปสู่ระดับใหม่ เมื่อเป็นที่ยอมรับระดับไหน ใครเอาไปใช้ในแนวคิดนั้น (ทั้งที่พัฒนาแนวคิดเก่า และคิดใหม่) ก็เอ่ยชื่อให้เครดิตกันพอควร ไม่ใช่ว่าการที่ไม่เอ่ยชื่อแปลว่าผมไม่ให้เกียรติ (ผมก็แค่ใช่ไปเรื่อย ๆ โดยไม่บอกว่าเอามาจากใครเท่านั้นเอง เขาคิดกันว่าว่าผมคิดเอง ผมก็ไม่ได้บอก)

ถ้าเราคิดว่าอะไรก็ไม่มีอะไรใหม่ มันก็ไม่มีการพัฒนานะ มีหลายคนที่ไปค้นคว้าของเก่าเพื่อจะหามายกแค่ประโยคเดียวว่า นี่ไงผมพบแล้วว่า มันเคยมีคนพูดไว้แล้ว (อาจแค่คุยกับมอเตอร์ไซค์ปากซอยอย่างพลั้งปาก) ดังนั้นสิ่งที่คุณคิด (จนเห็นผลใช้งานได้จริงในทางปฏิบัตินั้นโดยคนอื่นไม่เคยคิด จนเขาคิดได้แล้วนี่แหละ จึงคิดไปหาหลักฐานมาหักร้างว่าคุณก็ไม่ได้คิดเอง เพราะถ้ายอมรับก็เสียหน้า ว่าฉันนี้งมงาย งมโข่ง ทั้งขาดความสังเกต ยึดติดกับของเดิมหากินไปวัน ๆ แต่ฉันมีตัวตนยิ่งใหญ่แล้ว มีศิษย์มากมาย ดังนั้นอย่ามาทำให้ฉันขายหน้าด้วยการบอกว่า พบอะไรใหม่ เดี๋ยวลูกศิษย์มันจะถามฉันให้ยุ่งยากว่า อาจารย์รู้จักสิ่งนี้ไม๊ ทำไมอาจารย์ไม่เคยคิดอะไรใหม่ ๆ เลย มันจะปกครอง และสร้างตลาดลำบาก เข้าใจไม๊) ไม่ใช่สิ่งใหม่ (เพียงแต่ไม่เคยมีใครคิดว่ามันเวิร์กมาก ๆ มาก่อนเท่านั้นเอง เจ้าประโยคที่มีคนตั้งข้อสังเกตไว้ที่ปากซอยนั่นน่ะ พอมีคนอื่นเขาพัฒนาขึ้น กลับไปชมคนที่พูดคนแรกที่แค่พูดประโยคเดียวกับมอเตอร์ไซค์ปากซอยในยามที่อาจเพ้อเจ้อร่วมกันบนเคาน์เตอร์ยาดอง)

เด็ก ๆ อย่างผมก็ทำสำบัดสำนวนไปอย่างนั้นเองล่ะครับ... จะขอให้ใครทำใจเป็นกลาง ลดตัวตน เก็บเอาใจความก็คงไม่ได้แล้ว เพราะใช้ภาษาเสียแรงขนาดนี้....

ผู้แสดงความคิดเห็น อธิ วันที่ตอบ 2009-04-27 22:35:09 IP : 58.9.67.228

ความคิดเห็นที่ 23 (1930532)

ถึงว่าโหรเขาเถียงกันมาหลายรุ่นไงครับ ต่างสำนักต่างมีจานคำนวณและแบบแผนไม่เหมือนกัน อย่าว่าแต่โปรแกรมเลย
ดังนั้นจอมยุทธทั้งหลายเขาจึงมีทุกแบบทั้งจานและโปรแกรมแล้วแต่จะหยิบใช้ยังไงกับอะไร ตอนไหน เมื่อไหร่ อย่างไร

คอมโปรแกรมช่วยให้งานไวและครบทุกประเด็น แต่จานคำนวณแต่ละแบบจะช่วยเลือกช่วยตัดสินใจ หาลูกละเอียดได้ลึกซึ่ง ซึ่งต้องช่วยกันจึงจะสมบูรณ์

ว่าแต่ว่าสมัยนี้ที่ทำนายหลุดไปเพราะ เบสิกไม่แน่น งานลวกแบบสุกเอาเผากิน จะลงมือทำจานดวงสักกี่คนกี่ชิ้นเชียว

ในวงการนี้ก็แปลกคับ คำว่าอาจารย์นี่มันเรียกกันง่าย ถ้าอายุน้อยกว่าเขาเรียก หมอ เช่นหมอนั่น หมอนี่ แต่คำว่า ท่านอาจารย์ นี่สิ อันนี้ถือเป็นคำยกย่องของโหรด้วยกัน ซึ่งจะมีไม่กี่คนที่รับการยกย่องเช่นนั้น

เค้าดูกันจากผลงานครับ ซึ่ง นอกจากการเลอเลิศทางสติปัญญาแล้ว ฝีมือต้องมีในเชิงประจักษ์ ทั้ง วิชาการและพยากรณ์ สั่งสมมาจาก ความสม่ำเสมอ และยาวนานพอสมควร จนเป็นที่ยอมรับ อีกทั้งการประพฤติดำรงตนอยู่ในธรรมอันควรจนเป็นที่ยอมรับของวงการ

แต่เราเป็นโหร ต้องเชื่อเรื่องวาสนา บางทีการจะเจอครูเจออาจารย์ที่ดีๆหรือไม่นั้น ดวงชะตาตนเองแหล่ะบอกไว้

การประทับใจในตัวครูบาอาจารย์ แต่ละคนจะมีมุมมองแต่ละมิติไม่เหมือนกัน

โบราณท่านว่า ครูอาจารย์เหมือนเป็นเรือจ้าง คอยส่งต่อ

คนเรียนเขาจะพัฒนาตัวเขาเอง ตามประสบการณ์ที่เขาทุ่มเทศึกษา

วิชาอื่นยังไงไม่รู้ แต่วิชาโหรต้องมีดวงโหรครับ

ซึ่งมีหลากหลายลีลานัก ในเรื่องดวงโหร นี้ และเขาก็วัดกันที่ตรงนี้ด้วย และที่สำคัญ มันก็มาตามวัยของแต่ละคน

ถ้าวัยมันยังไม่มา แม้นจะดูดียังไง ก็จะแค่ แก่แดดแก่ลมแบบประกวดแฟนต้ายุวฑูต ดูน่าเอ็นดูในความสามารถ

มุมมองการเข้าใจวิชา บางทีก็ต่างกัน บางคนยังคิดว่าเป็น วิชาสถิติเลย ซึ่งไม่ใช่

กลับเป็น ปรัชญา ต่างหาก

ดังนั้น นอกจากจะรู้วิชา ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะครอบคลุม รึเปล่า

แม้คิดว่า ครอบคลุมแล้ว เรียบเรียงให้ชาวบ้านเขาฟัง เขาทราบ เขาเข้าใจ ได้พอหรือเปล่า

หรือเข้าใจแต่คนเดียว ไม่รับรู้ งานมาตรฐานของที่อื่น ที่เป็น เนติแบบเป็นเช่นไร

บางทีข้อมูลดิบไป สรุปประเด็นจะว่าอย่างไร

เรียบเรียงจากภาษาดาวเป็นภาษาคนได้รึเปล่า ลำดับขั้นตอนการนำเสนอ

แล้ว คนร่วมสมัยฟังเข้าใจหรือไม่

ที่สำคัญที่สุดคือ แม่นรึเปล่า แม่นแค่ไหน มิติเหตุการณ์ หรือเวลา หรือทั้ง 2 อย่าง

ทั้งหมดที่ว่า ต้องมีผู้วิจารณ์ คับ ขาดขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งมิได้เลย

ไม่ใช่คิดเองเออเองเข้าใจแบบของฉันเอง

สรุปว่า ต้อง สะท้อนผ่านแกนโลก ตามหัวข้อกระทู้นี้แหล่ะคับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...งึมๆงัมๆ วันที่ตอบ 2009-04-27 23:31:26 IP : 118.172.27.159

ความคิดเห็นที่ 24 (1930539)

อ้อ ลืมไป คำว่า ครู นั้น โลกตะวันตกกับโลกตะวันออกต่างกัน เอามาปนกันไม่เหมาะไม่ได้
ตะวันตกนั้นแต่ยุคกรีกลงมา เป็น academy ตลาดวิชาและมหาวิทยาลัยวิวัฒนาการมาจากที่นี่

ส่วนตะวันออก เช่น ไทยจีนอินเดียญี่ปุ่นนั้น เน้นสำนักครูไปเรียนไปอยู่บ้านครู

ปรัชญาในการครองตนของอาจารย์กับศิษย์จะต่างกัน

ไม่เหมือนกันเลย จะเอามาวิจารณ์รวมกันไม่ได้ไม่เหมาะครับ

อยู่ที่บุญกรรมและวาสนาว่าจะไปเจอเอาแบบไหน

เหมือนเลือกคู่แต่งงาน เจอดีก็ดีไป เจอซวยก็ซวยไป

ไปเรียกร้อง ตีขลุมว่าเหมือนกันไปหมดไม่ได้...ไม่เป็นธรรมคับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...ไปเจออะไรมา? วันที่ตอบ 2009-04-27 23:49:00 IP : 118.172.27.159

ความคิดเห็นที่ 25 (1930719)
นั่นนะซิ ความประทับครั้งแรกก็เลยติดตราตรึงใจกระมัง ดวงคงยังไม่ถึงมั้ง.... เรียนโหราศาตร์ถ้าหัวเหลี่ยม 1+1 ต้องเท่ากับ 2 ก็ผิดตั้งแต่ต้นแล้ว เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ต้องผสมผสานส่วนผสมอย่างลงตัว ผลที่ได้จะประทับใจติดตราตรึงใจเชียวแหละ...อย่ายึดติดในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งแต่ต้องมองที่ Output สิบอกให่....
ผู้แสดงความคิดเห็น :-) วันที่ตอบ 2009-04-28 11:49:09 IP : 61.19.65.4

ความคิดเห็นที่ 26 (1930723)

ต่ออีกนิดคับ

โหรานี้ก็แปลก มักจะเริ่มจากการสงสัย ประทับใจ และไปทดลองหาตำรับตำรามาอ่านดู ซึ่งตรงนี้เริ่มสำคัญแล้ว ว่าไปเริ่มมาจากไหน ไทยหรือเทศ จากนั้นวาสนาจะชักพาไป ว่าจะรักจะชอบจะลงลึกตามประสบการณ์และสติปัญญาความรู้รอบตังพื้นฐานเศรษฐกิจส่วนตัวอย่างไร

จากนั้นจะเริ่มแบ่งแยกเป็นพวกพอใจในวังวน และพวกที่เริ่มแตกแขนงของวิชา

ซึ่งเป็นการงอกงามไปคนละแบบ แล้วถึงเริ่มเข้าสู่วงการ จากเพื่อน จากอาจารย์ตามสำนักที่ไปหาไปเสาะ

เมื่อความรู้เริ่มกว้างมากขึ้นจากการอ่านตำราต่างๆหลายๆสำนักเข้า ก็จะตกผลึกในทางส่วนตัวเอง

ซึ่งวิชาโหรานี้ก็แปลกครับ ไม่มีมาตรฐานรองรับเหมือนวิชาอื่น

ขนาดว่าวัดที่ ทายแม่น ยังไม่ได้เลย

หรือวัดว่าสอบผ่านความรู้ว่าเข้าใจในทฤษฎีมาครบถ้วนก็ยังไม่ได้

ลูกค้าเยอะ ก็ไม่ใช่อีกแหล่ะ

แม้นจะตั้งตนเองเป็นสำนัก ก็ยังไม่น่าจะใช่

ตอนหลังๆนี้จึงกลายเป็นว่า สำนักสอนเทคนิค ว่า แบบนี้เคยใช้มาแล้วว่าได้ผล ให้ผู้เรียนเอาไปลองใช้ดู เพราะเจ้าสำนักท่านใช้แล้ว ว่าแม่น

ซึ่งแต่ละสำนักเกิดมีพื้นฐานเหมือนกัน แต่เทคนิคต่างกัน

อันนี้อยู่ที่วาสนาของผู้เรียนจะไปกอบโกยเอามาใช้การได้อย่างไร

ซึ่งก็มีหลายแบบของทางเลือก

เช่น ใช้มันทุกแบบ ใช้บางแบบที่ตนเองประทับใจ หรือ ปรับหาแบบของตนเอง

ซึ่งก็เปิดกว้าง และพวกที่อัจฉริยะ ก็มีมากมายมาหลายชั่วรุ่น

ประเภทคลื่นลูกใหม่ไล่คลื่นลูกเก่า

ตอนแรกๆ ผู้เรียน จะไม่มีอาจารย์ จากนั้นจะมีอาจารย์ และจะเริ่มมีอาจารย์หลายคน

สุดท้ายถ้ามีวาสนาไปถึง จะถึงขั้นที่ว่า ทุกคนที่ผ่านมานั่นแหล่ะเป็นครูอาจารย์ของเรา แม้กระทั่งตำรา บทวามหรือข้อเขียน พ้นจากสภาวะกรอบของมนุษย์ออกไป

ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...บ่นให้ฟัง วันที่ตอบ 2009-04-28 11:53:54 IP : 118.172.25.112

ความคิดเห็นที่ 27 (1931154)

Forecasting with astrology is controversial. Many astrologers do not forecast at all, others try to be too specific and discount the power of free will. After almost thirty years as a professional astrologer, I have come to the conclusion that the old quote from dusty textbooks, "The stars do not compel; they impel.", is the truthful middle ground.

Carole Demott Devine, Solar Arc Directions : How to Read Life"s Roadmap, L.A.B. Professional Publishing, Second Printing 2001.

การทำนายด้วยโหราศาสตร์นั้นก่อให้เกิดการโต้แย้งถกเถียงเป็นธรรมดา นักโหราศาสตร์จำนวนมากมิได้ทำนายสิ่งใดเลย ส่วนอีกพวกหนึ่งพยายามเหลือเกินที่จะทายอย่างเฉพาะเจาะจง และดูแคลนพลังแห่งจิตสำนึกในตนเองของมนุษย์ซึ่งสามารถเจตนาที่จะเลือกทำสิ่งใด ๆ ก็ได้ หลังจากเกือบจะสามสิบปีในฐานะที่เป็นนักโหราศาสตร์มืออาชีพมา ฉันได้มาสู่ข้อสรุปดังคำพูดอันมีนานมาแล้วในหนังสือที่เก่าจนฝุ่นเกาะที่ว่า "ดวงดาวมิได้บังคับ (ในระดับซึ่งบงการอย่างหลีกเลี่ยง) หากแต่มันกระตุ้น (ผลักดัน โน้มนำ เร่งเร้า)" ซึ่งนี่เป็นความจริงบนพื้นฐานแห่งการมองอย่างทางสายกลาง

ผู้แสดงความคิดเห็น อธิ วันที่ตอบ 2009-04-29 09:56:14 IP : 58.9.252.90

ความคิดเห็นที่ 28 (1931187)
คุณแหม่มเธอไม่มีวาสนาต่างหากที่จะไปถึง
ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...เพียงแค่แผ่วผ่านสายธารแห่งดวงดาว วันที่ตอบ 2009-04-29 10:37:40 IP : 118.172.58.75

ความคิดเห็นที่ 29 (2107226)
spiral curl clip on hair extensions skin Human hair wigs are wigs natural curls in your hairpieces lace wig glue blonde wig.
ผู้แสดงความคิดเห็น beata (cala-at-mail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-09-11 08:40:25 IP : 125.126.157.28

[1]

แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *

ผู้แสดงความคิดเห็น *
อีเมล
	ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล