|
ฝนดาวตก... | |
http://thaiastro.nectec.or.th/skyevnt/meteors/2009leonids.html ฝกดาวต๋นคือฝน ดาวตก | |
ผู้ตั้งกระทู้ ภารต...มันก็แค่เริ่องเดิมๆ :: วันที่ลงประกาศ 2009-11-09 07:56:50 IP : 118.172.32.122 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2004587) | |
ในเมื่อพูดเรื่องการเมือง ก็มาว่ากันสักหน่อย เมื่อ 250 ปีก่อน "กัมพูชา" เป็นสาเหตุสำคัญที่ๆทำให้ หมากตัว"ขุน" ถูกรายล้อมไว้ อยู่ในสภาพ"จน..กลางกระดาน" น่าสังเวชใจ อย่างยิ่ง วันนี้ "กัมพูชา" ทำให้ประวัติศาสตร์คล้ายซ้ำรอย อาจเป็น "กงกรรม กงเกวียน" เค้ามาทวงของๆเค้าคืน | |
ผู้แสดงความคิดเห็น กงกรรม กงเกวียน วันที่ตอบ 2009-11-09 09:19:38 IP : 125.25.147.152 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2004606) | |
ขอบคุณรายละเอียดครับ กำลังหาข้อมูลเวลาและสถานที่ไปดูอยู่เชียว | |
ผู้แสดงความคิดเห็น JigSaw วันที่ตอบ 2009-11-09 10:15:43 IP : 110.164.32.46 |
ความคิดเห็นที่ 3 (2004775) | |
พระเจ้าบรมโกศ (พ.ศ.2275-2310 ค.ศ.1733-1758)
พระเจ้าบรมโกศ เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 32 (ในจำนวน 34 องค์) ของอยุธยา พระองค์ทรงเป็นโอสรของพระเจ้าเสือ (กษัตริย์องค์ที่ 30) และเป็นอนุชาของพระเจ้าท้ายสระ (กษัตริย์องศ์ที่ 31) พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ถือว่าเป็นสมัยของอยุธยาที่ “บ้านเมืองดี” ก่อนการเสียกรุงให้แก่พม่าเมื่อ 2310/1767 คือ 9 ปีภายหลังที่พระองค์สวรรคต และพระโอรส 2 องค์ พระเจ้าอุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด) และพระเจ้าเอกทัศน์ (ขุนหลวงขี้เรื้อน) เกิดปัญหาแก่งแย่งอำนาจกัน ไม่สามารถจะต้านศึกกับพม่าได้ สมัยของพระเจ้าบรมโกศเป็นสมัยที่คนยุคต้นรัตนโกสินทร์มองกลับไปหา และพยายามจะลอกเลียนแบบประเพณีของราชสำนักสมัยนั้น แต่สมัยของพระองค์ก็มีปัญหาการเมืองภายในราชสำนักอย่างมากในแบบฉบับของอยุธยา การที่มีพระสนมหลายองค์ในระบบ “ผัวเดียวเมียหลาย” นั้นเกิดปัญหาการแย่งชิงอำนาจในหมู่พระโอรส (และธิดา) ขึ้นเป็นประจำ พระเจ้าบรมโกศทรงมีปัญหาของพระโอรสริษยาแย่งชิงอำนาจกันเอง เช่นในกรณีของ (ฟ้าธรรมาธิเบศร์” หรือเจ้าฟ้ากุ้งผู้ทรงเป็นทั้งกวีและนักปฏิสังขรณ์ วัดวาอารามหลายแหล่งในสมัยตอนปลายอยุธยาแต่ถูกข้อหา “ขบถ” เป็นชู้กับเจ้าฟ้าสังวาลย์พระสนมเอกของพระราชบิดาถูกโบยจนสิ้นพระชนม์ พระเจ้าบรมโกศยังมีโอรสอีกองค์ที่ถูกข้อหา “ขบถ” ถูกเนรเทศไปอยู่เกาะลังกา คือ กรมหมื่นเทพพิพิธที่หนีกลับมาตั้ง “ก๊กเจ้าพิมาย” สมัยหลังเสียกรุงศรีอยุธยาแล้ว แต่ถูก “ก๊กพระเจ้าตาก” ปราบปราม
ในรัชสมัยอันยาวนานของพระเจ้าบรมโกศ 25 ปีนั้น ทรงได้ปรับปรุงการปกครองโดยการขยายการตั้ง เจ้าทรงกรม จาก 3 กรมเป็น 13 กรม ให้แต่ละกรมมีอำนาจในการปกครองไพร่ของตนเอง ในด้านหนึ่งก็เป็นความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาการที่เจ้าและขุนนางบางคนมีอำนาจมากจนสามารถจะชิงราชสมบัติได้ แต่การขยายกรมที่คุมไพร่ ก็ทำให้การบังคับบัญชากำลังคนกระจัดกระจายไปอยู่ตามกรมย่อยต่าง ๆ ทำให้ไม่สามารถเผชิญกับศึกภายนอกเมื่อพม่ายกกองทัพมาตีอยุธยา ในด้านศาสนา ปรากฏว่าพุทธศาสนาในสมัยของพระองค์รุ่งเรืองมากมีการส่งสมณทูตไปศรีลังกา 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี 2294/1751 ทั้งนี้เพราะกรุงแคนดีขอให้คณะสงฆ์ไทยไปช่วยฟื้นฟูศาสนาที่ตกต่ำจากการที่อิทธิพลของโปรตุเกสและฮอลันดาได้เข้าไปแทรกแซงในศรีลังกา ทำให้เกิดการอุปสมบทขึ้นใหม่ และมีการตั้งพุทธศาสนานิกายสยามวงศ์ขึ้นในประเทศนั้น ในปี 2298/1755 ก็ได้มีการส่งสมณทูตไปศรีลังกาอีกครั้งหนึ่ง ในทางด้านความสัมพันธ์กับประเทศรอบบ้าน ปรากฏว่ารัชสมัยของพระองค์ อยุธยามีอิทธิพลอย่างสูงจากการที่ไทยได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการสืบราชสมบัติและชิงอำนาจกันในกัมพูชาตั้งแต่ 2263/1720 ในสมัยของพระเจ้าท้ายสระ และได้รับเจ้าเขมร 3 องค์ที่มีสิทธิในบัลลังของกัมพูชาเข้ามาไว้ในอยุธยา (ทำนองเดียวกับที่พม่านำพระนเรศวรไปเป็น “องค์ประกัน”) ดังนั้นในปี 2281/1738 ก็ได้ให้กองทัพไทยนำเข้าเขมรนี้กลับไปครองอำนาจใหม่ ทั้งนี้โดยการสู้รบกับฝ่ายเขมรที่มีเวียดนามหนุนหลัง ในสงครามใหญ่ 2292/1749 ฝ่ายไทยได้รับชัยชนะทำให้กัมพูชาต้องเป็น “ประเทศราช” ของอยุธยา ในขณะเดียวกันทางด้านมอญก็เป็น “เอกราช” 2283/1740 และหงสาวดี (พะโค) ก็มีความสัมพันธ์อันดีกับไทย พระองค์ยังมีความสัมพันธ์อันดีกับพม่าที่อังวะด้วย ในปี 2300/1758 พระเจ้าบรมโกศทรงประชวร พงศวดารไทยกล่าวว่าในปีนั้นมีดาวหางขึ้น ซึ่งปรากฏว่าเป็นดาวหางฮัลเลย์ และเมื่อพระองค์สวรรคต ( 13 เมษายน 2301/1758) ก็เกิดการแย่งอำนาจกันในอยุธยา อีก 9 ปี ต่อมาก็เสียกรุงแก่พม่า เป็นอันสิ้นสุดอาณาจักรอยุธยาซึ่งเป็นศูนย์กลางของอำนาจไทยมา 417 ปี | |
ผู้แสดงความคิดเห็น คนไทยใจไม่เขมร วันที่ตอบ 2009-11-09 16:39:06 IP : 58.9.233.123 |
ความคิดเห็นที่ 4 (2004790) | |
ย้อนหลังไป 415 ปีดีกว่า ในพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติฯ ลงข้อความสั้น ๆ เกี่ยวกับสงครามกับพระยาละแวกครั้งนั้นว่า "ศักราช ๙๕๕ มะเส็งศก…ณ วันศุกร์ขึ้น ๑๐ ค่ำเดือนยี่ เพลารุ่งแล้ว ๓ นาฬิกา ๖ บาท เสด็จพยุหยาตราไปเอาเมืองละแวก และตั้งทัพชัย ตำบลบางขวด เสด็จไปครั้งนั้นได้ตัวพระยาศรีสุพรรณ ในวันอาทิตย์แรม ๑ ค่ำ เดือน ๔ นั้น" วันพยุหยาตรา(31/12/2316) SU=MO=MA=KR/ZE(MA/KR//ZE)=UR/PL.PO ใช้เวลา 2 เดือน 6 วัน(06/03/2317) ได้ตัวพระยาศรีสุพรรณ(อนุชาพระยาละแวก) t SU+MA-JU=r SU+MA-JU ตรงนี้ประวัติศาสตร์ไม่แน่นอน ทางฝั่งเขมร และโปรตุเกส ว่าพระยาละแวกหนีไปเมืองลาว ส่วนทางไทยมีตำนานว่าด้วยเรื่องของพิธีปฐมกรรมต่อพระยาละแวก (นำโลหิตของพระยาละแวก มาล้างพระบาทของ พระนเรศวร) ปัจจุบันผ่านไป 415 ปี วันที่ 12/11/2552 (ว่ากันว่าเป็นวันออกญามูลเมืองพบพระยาละแวก 2009) ขอให้มาจริงเหอะเพราะ t SU+MA-JU(12/11/2009) =v1 SU+MA-JU =r SU/MA//JU(31/12/2316), t SA=v1 SA นั่นสิเนาะ ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย เป็น "กงกรรม กงเกวียน" หรือปล่าว | |
ผู้แสดงความคิดเห็น มาแว๊ว...โหราจดหมายเหตุ วันที่ตอบ 2009-11-09 17:19:04 IP : 202.176.101.3 |
ความคิดเห็นที่ 5 (2004816) | |
แล้วไปเกี่ยวกับพระเจ้าบรมโกศ พระองค์ท่าน ตรองไหน (เขียนไม่ผิดนะ ออกสำเนียงเขมร)
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น มนุษย์โว๊ย...ใจอริยะด้วย วันที่ตอบ 2009-11-09 18:50:14 IP : 125.25.147.152 |
ความคิดเห็นที่ 6 (2004854) | |
อันนาคาโบราณว่า เมืองเขมร อาเต๊า จุดนายก แอตเมฯ ระวังจีนพี่ใหญ่ ก็เสาร์ ปลุกปั่นคลั่งชาติย้อน นาซี วงรอบหลักโหรา นักหลาย เว็บนี้มิได้เชียร์ ทักษิณ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...ขออภัยในบางลีลานะ วันที่ตอบ 2009-11-09 20:23:37 IP : 118.172.11.118 |
ความคิดเห็นที่ 7 (2004969) | |
เจ้าฟ้าเพชรเจ้าฟ้าพร ฆ่ากัน ครองแผ่นดินนานเนิ่น จอมผไท จากนั้นเริ่มเคราะห์ร้าย กรายมา พินทุวดีฟ้าหญิง อยู่มา | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...แต่งแก้ง่วง วันที่ตอบ 2009-11-09 23:32:09 IP : 118.172.11.118 |
ความคิดเห็นที่ 8 (2004987) | |
วงรอบวัฎฎะแห่ง โหรา ห่อนใช่ใช้ซารอส ราหู | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...แต่งแก้ง่วง วันที่ตอบ 2009-11-10 01:31:35 IP : 118.172.11.118 |
ความคิดเห็นที่ 9 (2005224) | |
(ผมในที่นี้ไม่ใช่ผมboi9999แต่คือศาสตราจารย์ ขจร สุขพานิช ) ในพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติฯ ลงข้อความสั้น ๆ เกี่ยวกับสงครามกับพระยาละแวกครั้งนั้นว่า
บันทึกเพิ่มเติม
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...หลักฐานอ้างๆอิงๆ วันที่ตอบ 2009-11-10 18:00:51 IP : 118.172.34.63 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 361028 |