|
ความฝันตามแนวทางพระพุทธศาสนา ความฝันเป็นสีอะไร | |
สาเหตุของความฝัน ๔ อย่าง
๑. บุพพนิมิต นั้นเป็น อำนาจการกระทำ คือ กรรมอันเป็นบาปหรือเป็นบุญที่ทำมาแล้วเก็บเอาไว้ในจิตใจแต่อดีตทั้งชาติก่อนและชาตินี้ เป็นตัวการที่มากระทบใจให้เกิดความฝันขึ้นได้ บุพพนิมิต คืออารมณ์ที่เกิดขึ้นทางใจ ซึ่งมาจากอำนาจของกรรม อำนาจของกรรมที่เราได้กระทำไว้ในอดีตชาติก่อนหรือชาตินี้เป็นตัวการมากระทบใจให้เกิดความฝัน แล้วอำนาจของกรรมนี้จะทำให้เกิดความแม่นยำ และความแม่นยำของกรรมที่มากระทบที่เรียกว่าบุพพนิมิตนี้ เป็นความแม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์ หมายความว่าฝันครั้งใดก็จะถูกต้องทุกครั้ง ทั้งดีหรือร้าย
๒. จิตอาวรณ์ ด้วยอำนาจของจิตที่หน่วงเอาอารมณ์ที่ตนได้เห็น ได้ยิน หรือได้พบมาแล้วเก็บเอาอารมณ์นั้นมาฝัน ความฝันชนิดนี้เกิดด้วยใจจดจ่อผูกพันอามรณ์นั้นเป็นพิเศษ คือคิดถึงเรื่องนั้นๆ บ่อยๆ จึงเรียกว่าเกิดจาก “จิตอาวรณ์” ฝันชนิดนี้ไม่ค่อยแน่นอนก็คงเหมือนใจคนที่ไม่แน่นอนเป็นไปตามอารมณ์ อีกประการ คือเรื่องของความคิด คือ วันนี้หรือหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาได้พบได้ยินได้เห็นอะไรมาแล้วนำมาฝัน...บางคน เถียงว่า ไม่ได้คิดนะ ไม่คิดก็ไม่คิด แต่จิตเก็บทำหน้าที่จำเอาไว้ภายในส่วนลึกเรียกว่า conscious Mind เวลาเรานอนหลับไปจิตมันก็ขุดค้นขึ้นมาฝันเองครับ บางคนฝันถึงแฟนเมือคืน ตื่นเช้าจะรู้สึกดีกับเขาเป็นพิเศษ โทรหาแต่เช้า...อีก2-3วันความรู้สึกนั้นก็จาง ไปตามอารมณ์ จะทำนายฝันจากอาจารย์สำนักไหนก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ครับถ้าจิตอาวรณ์
๓. เทพสังหรณ์ ด้วยอำนาจของเทวดามาบอกเหตุร้ายเหตุดี เรียกอีกอย่างคือ เทวดามาดลใจ รวมทั้งผีสางนางไม้ด้วย ชี้นิมิตฝันให้ปรากฏ ความฝันจากเหตุนี้เป็นจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง เอาเป็นที่แน่นอนไม่ได้ทุกครั้งไป ที่จริง ๆ ก็มีแยะ นะครับเช่น เมื่อ 2-3อาทิตย์ก่อน (ปี 53 นี่แหละ)มีครอบหนึ่งฝันซ้ำ ๆซาก ๆติดกันหลายคืนว่า มีคนมายืนบอกในฝันให้ช่วยไปขุดพระพุทธรูปที่หลังวัดให้ด้วย ทีแรกก็ไม่เชื่อ แต่ก็ฝันอีก จึงพากันไปขุดก็พบจริงๆ เป็นออกทีวีเมื่อไม่นานมานี่เอง และมีปีก่อน(52)ก็มีชาวบ้านฝันกรณีเดียวกันแต่ขุดจนไม่มีที่ขุดก็ไม่เจออะไร ครับก็อ่านแล้วพิจารณาเอาเองข้อนี้
๔. ธาตุกำเริบ หมายถึง ธาตุประจำตัวเราทุกท่าน คือ ธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ อาหารการกินที่เราบริโภคเข้าไป ธาตุส่วนไหนมากเกินไปน้อยเกินไปก็จะมีปฏิกิริยาเรียกว่า ธาตุกำเริบ เช่น ท้องไส้ไม่เป็นปรกติ หรือธาตุภายในร่างกายวิปริต ก็ทำให้ฝันไปต่างๆ นานาได้ เพราะในขณะนอนหลับนั้นย่อมหลับไม่สนิท ด้วยเหตุที่ธาตุกำเริบมากระทบกระเทือนประสาทส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้ฝัน แล้วจึงได้สร้างมโนภาพขึ้นมา แนะนำให้ดื่มอีโนก่อนนอนนะ ความฝันจะได้ค่อนไปในทางจริง เพราะฝันแบบนี้ก็เอาแน่เอานอนไม่ได้เช่นกัน
ความฝันเป็นสีอะไร ตอบ ความฝันเป็นทั้งภาพสีและขาวดำครับตามอารมณ์จิตของผู้ฝัน คล้ายดูทีวีและครับ ถ้าเผอิญฝันไปในสมัยร.๕ ก็ขาวดำครับ ถ้าฝันพลัดหลงไปในดงกุหลาบก็เป็นภาพสี..และถ้าฝันว่า เก็บดอกไม้..ยิงกระต่าย หากเป็นเด็กๆ พรุ่งนี้เช้าก็เตรียมเอาผ้าห่มไปซักได้ครับ สำหรับคนตาบอด ฝันไหม ก็ฝันครับ...(มีรายงานวิจัยออกมาแล้ว) แล้วฝันของคนตาบอดเป็นสีอะไร คำตอบคือ เป็นสีตามจินตนาการณ์ของผู้ฝันที่เขาจินตนาการณ์อยู่ในชีวิตประจำวันของเขาครับ (จึงบอกสีให้ไม่ได้) ถ้าพระฝันเห็นผู้หญิงชาวบ้านทั่วไป เรียกว่า พระฝันเห็นสีกา ....ฮิๆ แถมท้ายอีกนิด ครับพระนี่หมายถึงพระทั่วไปนะทียังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ ถ้าพระอรหันต์จริงๆ ท่านจะไม่ฝันครับ สำหรับพระพุทธเจ้าของเราท่านเคยฝันเหมือนกัน เรียกว่า "มหาสุบิน" แต่เป็นฝันก่อนบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า และในคืนวันวิสาขะบูชาก่อนตรัสรู้ หากอยากทราบว่าท่านฝันว่ากระไรบ้างหลวงตาจะได้นำมาเสนอต่อไปครับ
คนหลับฝันท่านว่า คือคนที่นอนหลับไม่สนิทนะ ถ้าอยากให้คนที่รักหลับให้สนิท(แบบจิตไม่เหนื่อยที่เที่ยวฝัน จิตทำงาน)ก็อย่าอวยพรให้หลับฝันดีเลยนะ จะฝันดีหรือฝันร้ายก็ตามจ้า...
หลวงตา… | |
ผู้ตั้งกระทู้ หลวงตา :: วันที่ลงประกาศ 2010-02-07 21:43:53 IP : 118.172.102.219 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2033117) | |
หลวงตาๆ ดึกแล้ว ยังเล่นเว็บ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะงอแงตื่นตีระฆังทำวัตรเช้า ไม่ทันนะขอรับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...สัพพาตาปัฎฏิโยอาโรเจมิฯ วันที่ตอบ 2010-02-07 22:50:25 IP : 118.172.23.186 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2033364) | |
แหม...มีแซวๆ หลวงตา ไม่ได้เคาะเองหรอกระฆัง.. เณรเคาะ เคย ลงไปเคาะระฆังอยู่หนหนึ่ง เณร บอกว่า หลวงตาไม่ต้องหรอก เดี๊ยวเณรทำเอง"" หลวงตาไปกวาดเก็บขยะ เถอะ โห..เณร หนักกว่าเดิมอีกนะนั่น.../ หลวงตาไม่ใช่นอนไม่หลับ หรือไม่ยอมหลับนะ แต่ยังไม่นอนเท่านั้น เพราะอีกหน่อยก็คงได้นอนยาวแล้ว เลยรวมๆ เอาไว้ซักทีเดียวเลย ในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึงบุคคลผู้ไม่หลับ ดังนี้ (อัง. ปัญจก. ๒๒/๑๗๕) หมายถึง หัวข้อ เล่มหน้า ๑.สตรีผู้คิดถึงบุรุษ ๒.บุรุษผู้คิดถึงสตรี ๓.โจรผู้ประสงค์ร้าย ๔.พระราชาประกอบกิจบริหารบ้านเมือง ๕ ภิกษุผู้ประสงค์ละสังโยชน์ (กิเลส) เพิ่มเข้ามา ๖. บุคคลผู้มุ่งแต่งาน ๘.บุคคลผู้มีโรครุมเร้า ๙. บุคคลผู้ใฝ่เรียน (พิจารณาจำแนกธรรม) ๑๐.บุคคลผู้ละทุกข์ไม่ได้ (ผู้ประสบปัญหาชีวิต) ๑๑.บุคคลผู้นอนกลางวัน หลวงตาจัดอยู่ในประเภทไหน ก็ต้องอยู่ในหมวดพิจารณาจำแนกธรรม... ตารางพุทธกิจของพระพุทธเจ้ามีดังนี้ 06.00 - 08.00 น. เสด็จบิณฑบาตโปรดประชาชน สรุปพระพุทธเจ้าทรงพระบรรทมกี่ชั่วโมงคงต้องบวก-ลบ-คุณ-หาร กันเอาเองหละ [DOC] อะไรเป็นเหตุทำให้นอนไม่หลับ เอกสารปัจจุบันอ่านเพิ่มเติมทั่วไป หลวงตา... | |
ผู้แสดงความคิดเห็น หลวงตา วันที่ตอบ 2010-02-08 17:19:37 IP : 118.172.39.163 |
ความคิดเห็นที่ 3 (2033445) | |
รู้จักแต่ อุบายแก้ง่วง น่ะขอรับ พระไตรปิฎก เล่มที่ 23 พระสุตันตปิฏก อังคุตรนิกาย สัตตก - อัฏฐก - นวกะ นิบาต หน้าที่ 82 - 83 กล่าวว่า ณ บ้านกัลลวาลมุตตคาม แคว้นมคธ พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตร | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...พระสูตรสำนักนักเรียนท่องหนังสือ วันที่ตอบ 2010-02-08 21:00:07 IP : 180.180.51.114 |
ความคิดเห็นที่ 4 (2033853) | |
ขอปริวรรตเพิ่มเติมให้เข้าใจง่ายขึ้นนะ พระมหาโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้าย)เมื่ออุปสมบทได้ 7 วัน ได้ไปทำความเพียรอยู่ที่ป่าใกล้บ้านกัลป์ลาวาลมุตตาคาม แขวงมคธ ถูก ความง่วงเหงาเข้าครอบงำ ไม่สามารถจะทำความเพียรได้ พระพุทธเจ้าจึงแนะนำไว้ ดังนี้
พระพุทธองค์ ตรัสสอนอุบายเพื่อบรรเทาความง่วงโดยลำดับจนที่สุดถ้ายังไม่หายง่วงก็ให้นอน แต่ให้นอนอย่างมีสติเสีย ข้อ๑และข้อ๒ สามารถนำเอาความรู้ทั่วไปที่เรียนมาปรับใช้ ได้เช่น การนำเอาความรู้ที่ได้ศึกษามาพิจารณาได้ เป็นต้นว่า ระลึกวันนี้ฉันเรียนอะไรมาบ้าง มีกี่ประเภท หมายถึงอะไร และใช้ยังไง เป็นต้น ข้ออื่น ๆ ถือว่าเป็นรูปแบบแก้ง่วงทั่วไป ที่ไม่ได้กล่าวถึง นำชา กาแฟ หรือสิ่งบรรเทิงอื่นใด เพราะสมัยพุทธกาลไม่มี บางเรื่องก็ไม่เหมาะแก่สมณะ แต่ที่ท่านเห็นความสำคัญของเวลาไม่ยอมหลับ(จำวัด)เพราะท่านเน้นเรื่องการปฏิบัติธรรม เพื่อการบรรลุธรรมสิ้นกิเลสเร็ววันเท่านั้น การง่วงนอนจึงดูเป็นอุปสรรคขัดขวางความสำเร็จ เหมือนการทำการงานทุกอย่างเช่นปัจจุบัน แม้การนอนตื่นสาย ก็ดูเป็นสิ่งที่น่าอายไป.... | |
ผู้แสดงความคิดเห็น หลวงตา วันที่ตอบ 2010-02-09 22:36:35 IP : 118.172.26.245 |
ความคิดเห็นที่ 5 (2033866) | |
แล้วที่เขาพูดเขาลือกันว่า เจ้ากูนั้น ฉันจังหันแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน ตกบ่ายพักผ่อน กลางคืนจำวัด แก้ได้ด้วยวิธีนี้มั๊ย ขอรับหลวงตา | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ภารต...ปัสสติ โสตา อาปัตติโย? วันที่ตอบ 2010-02-09 23:37:46 IP : 118.172.29.157 |
ความคิดเห็นที่ 6 (2034001) | |
เสียงลือ...เสียงเล่าอ้างอันใด.... ต้นผู้ผูกสำนวนนี้ เข้าใจว่ามาจากเด็กวัด หรือไม่ก็พระด้วยกันที่สึกหาลาเพศออกไป กล่าวเชิงหยอกล้อกันจริงบ้างไม่จริงบ้าง อาจจะกับพระเพื่อนหรือผู้ใหญ่ที่สนิทกันก็เป็นได้ เป็นประโยคเต็ม ๆ ว่า "เช้าเอน เพลนอน ตอนเย็นพักผ่อน กลางคืนจำวัด ค่ำดูโทรทัศน์ ดึกซัดมาม่า" ถ้าพิจารณาดูแล้วมันเป็นไปไม่ได้ทุกข้อหรอก เพราะพระเณรก็ต้องทำกิจไม่อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่แล้วในแต่ละวัน เช่น เวลาเช้า ต้องทำวัดรสวดมนต์ บิณฑบาตร ไปเรียนหนังสือ รับกิจนิมนต์ เฉพาะสามเณรเลิกเรียน ๔ โมงเย็น กลับมาก็ต้องเก็บกวาดและทำวัตรเย็น หากมีสวดอภิธรรมศพก็ต้องออกไปสวดกลับมาก็ปาไป ๓ ทุ่มกว่าๆ แล้ว สำหร้บพระเลิกเรียน๕-๖โมงเย็น หากเป็นวัดหยุด คือ วันอาทิตย์กับวันพระ ก็ตัดเรื่องเรียนออกไป แต่ก็ต้องทำอย่างอื่นอยู่ดี.... ที่ว่าจริงบ้างไม่จริงบ้าง ส่วนที่จริงก็อาจจะเป็นส่วนที่น้อย และน้อยที่สุด เช่น อาจจะมีเอน มีหลับไปช่วงบ่ายๆ ไปบ้าง ก็ให้แก้..อย่างที่โยมเสนอเอาไว้ข้างบน (ถ้าอยากแก้ ส่วนมากไม่ยอมแก้นะ) กับหลวงตา นะ เลิกฉันมาม่า ไวไว มานานโขแล้ว ส่วนข้ออื่นๆ ไม่ต้องแก้ไขอะไร ...เพราะเป็นแค่คำเขาลือ..สัปหยอกเสียดสีพระเล่น.. ขอแค่โยมฟังหูไว้หู ...ก็ ok แล้ว นะ อนุโมทนาบุญกับคำถามทีน่าสนใจ หลวงตา
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น หลวงตา วันที่ตอบ 2010-02-10 11:42:19 IP : 118.172.1.30 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 360578 |